แก้รัฐธรรมนูญ: ทางสองแพร่งที่รัฐบาลต้อง
เลือก
เลือก
โดยชำนาญ จันทร์เรือง
ไม่ว่าคำวินิจฉัยกลางของศาลรัฐธรรมนูญใน
กรณีการยกคำร้องตามมาตรา 68 ที่ออกมาในวันที่ 26 กรกฎาคม 2555
จะออกมาเป็นเช่นไร แต่ผมคิดว่าคงเปลี่ยนแปลงจากคำแถลงข่าวในวันที่ 13
กรกฎาคมที่ผ่านมาไม่มากนัก
เพราะตามรัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้แล้วว่าคำวินิจฉัยกลางต้องและคำวินิจฉัย
ส่วนตนต้องทำให้เสร็จก่อนการอ่านคำวินิฉัยในวันที่ลงมติ
การแก้ไขจะทำได้ก็เพียงรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น เช่น กับ แก่ แต่ ต่อ
ตัวสะกด การันต์ ฯลฯ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป
เพราะกรณีคำวินิจฉัยกลางของคดี(ไม่)ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยเกิดเหตุการณ์
คำวินิจฉัยกลางที่เป็นทางการไม่ตรงกับการแถลงข่าวมาแล้ว
ที่สำคัญก็คือข้อคลางแคลงในคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ที่ว่า “ตัดสินความผิดย้อนหลังก็ได้ ตัดสินคดีล่วงหน้าก็ได้ ไม่มีอำนาจก็ตัดสินได้”
ซึ่งไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ป่วยการที่จะไปแหกปากร้องแรกแหกกระเฌอว่าศาลรัฐธรรมนูญตีความขยายอำนาจตัว
เอง เพราะดันไปรับอำนาจเขาเองตั้งแต่ต้น แทนที่จะเดินหน้าลงมติวาระ 3
ไปให้เสร็จสิ้นกระบวนความ
แต่ไปเชื่่อที่ปรึกษาห่วยๆว่าจะถูกองคมนตรีระงับยับยั้งหรือส่งกลับซึ่งไม่
มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญรองรับ หรือเกรงว่าตัวเองจะถูกต้อนเข้าไปสู่
Killing Zone เพราะหากเสนอทูลเกล้าฯไปแล้วมีอันเป็นไป
เพราะผมเชื่อว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะขนาดศาลรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวประธานเองและตุลาการบางนายออกมา
ขู่ฟอดๆอยู่รายวันต่อสื่อมวลชนก่อนวันตัดสินยังต้องเบรกจนตัวโก่งเมื่อเจอ
ฤทธิ์เดชของมวลชนที่ออกมาขู่กลับเช่นกัน
ทำให้คำวินิจฉัยออกมาไม่เป็นที่สะใจของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญปี 50 แต่ก็ยังไม่วายวางยาหรือระเบิดเวลาไว้ให้ปวดหัวเล่น
การ
วางยาหรือระเบิดเวลาที่ว่านี้ก็คือ
แม้ว่าจะยกคำร้องแต่ยังไปวินิจฉัยว่ามาตรา
นั้นให้แก้เป็นรายมาตราเท่านั้นไม่ให้แก้ทั้งฉบับให้แก้ได้เป็นรายมาตราเท่า
นั้น หากจะแก้ทั้งฉบับควรจะไปทำประชามติเสียก่อนซึ่งเป็น
การแต่งตำราขึ้นมาใหม่โดยศาลรัฐธรรมนูญเอง
เพราะไม่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญใดที่ให้อำนาจเช่นว่านี้ไว้
ซึ่งผมคงจะงดให้ความเห็นในประเด็นต่างๆเหล่านี้เพราะได้มีผู้ให้ความเห็นไว้
มากแล้ว
แต่ผมจะมาวิเคราะห์ทางเลือกที่เหลืออยู่ของรัฐบาลว่าจะทำอะไรได้บ้างหรือจะ
ทำอะไรไม่ได้บ้าง
(อ่านต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น