ในสนามรบทางกฎหมาย
ในสนามรบทางกฎหมาย
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
คงไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำถึงความไม่ชอบมาพากลที่ศาลรัฐ
ธรรมนูญรับเรื่องตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ
ไม่ว่าจะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญเอง
และขัดต่อการตีความของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีมาก่อน
ไปจนถึงการให้สัมภาษณ์ของประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ส่ออคติก่อนการสอบสวน
ยิ่ง
กว่านี้ สองในตุลาการเคยให้สัมภาษณ์มาก่อนว่า
การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยการตั้ง ส.ส.ร.อาจทำได้
ซึ่งขัดกับการตัดสินใจรับคำร้องในครั้งนี้
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า
มันมีอะไรที่ใหญ่และสลับซับซ้อนกว่าประเด็นทางกฎหมายหรือวินิจฉัยส่วนตนของ
ตุลาการ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ
พลังฝ่ายอำมาตย์ไม่อนุญาตให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
อย่างน้อยก็ยังแก้ไม่ได้ในช่วงนี้
รัฐธรรมนูญนั้นไม่ค่อยมีความหมายมากนักแก่ฝ่ายผู้ถืออำนาจในเมืองไทย
(มิฉะนั้นเราคงไม่มีรัฐธรรมนูญเกือบ 20 ฉบับหรอก)
เพราะอาจตีความอย่างไรก็ได้
นอกจากนี้ฝ่ายผู้ถืออำนาจยังมีส่วนกำกับการร่างรัฐธรรมนูญเสมอ
อย่างน้อยก็นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 เป็นต้นมา
โดยการต่อรองร่วมกันระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่ถืออำนาจร่วมกัน
หรือหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสถาปนาการนำในกลุ่มผู้ถือ
อำนาจได้ ก็อาศัยการต่อรองผ่านกลุ่มดังกล่าวอีกทีหนึ่ง
ฉะนั้นถึงจะ
แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ไม่น่าจะเป็นที่หวั่นวิตกอย่างไร แต่ในร่าง
พ.ร.บ.ที่เสนอให้ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นเป็นผู้รับผิดชอบการแก้ไข
สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เห็นได้ว่า
เป็นการยากที่ฝ่ายผู้ถืออำนาจจะเข้ามากำกับได้ เพราะ
ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง (เป็นส่วนใหญ่)
แม้แต่ผู้ทรงคุณวุฒิก็ยังถูกเลือกมาจากรัฐสภา
ซึ่งอำนาจกำกับของฝ่ายผู้ถืออำนาจเบาบางลงมาก
รัฐธรรมนูญปี 2550
เปิดโอกาสให้ฝ่ายผู้ถืออำนาจกำกับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติได้หลายทาง
แม้ต้องทำโดยไม่ค่อยตรงกับหลักการประชาธิปไตยเท่าไรนัก
แต่ก็ยังเป็นอำนาจกำกับที่ขาดไม่ได้ ฉะนั้นในช่วงนี้เป็นอย่างน้อย
ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นการสุ่มเสี่ยงเกินไปแก่ฝ่ายผู้ถืออำนาจ
จึงต้องขัดขวาง
แม้กระนั้น วิธีที่ใช้ในการขัดขวางก็ไม่ค่อยจะ
"เนียน" เท่าไรนัก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการขัดขวางร่าง พ.ร.บ.
หรือคำสั่งแต่งตั้ง ซึ่งไม่ต้องการให้บรรลุผล เท่าที่ผ่านมาในอดีต
หากไม่นับการรัฐประหารแล้ว
ประสบการณ์ทางการเมืองที่สั่งสมมานานของฝ่ายผู้ถืออำนาจ
จะรู้วิธีขัดขวางฝ่ายที่ไม่ร่วมอยู่ในผู้ถืออำนาจได้แนบเนียนกว่านี้มาก
แต่วิธีที่ไม่ "เนียน" นี้อาจเป็นวิธีเดียวที่เหลืออยู่
เพราะอย่างน้อยในช่วงระยะเวลานี้และอนาคตอันใกล้
การรัฐประหารเป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ ขาดการยอมรับของชาติมหาอำนาจ
(อย่างที่ศาสตราจารย์ลิขิต ธีรเวคิน กล่าวว่า ท่าทีของมหาอำนาจตะวันตก
คือให้การยอมรับและต้อนรับรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยอย่างเห็นได้ชัด)
และก่อให้เกิดความวุ่นวายถึงขั้นจลาจลทางการเมือง
ซึ่งจะยิ่งทำให้ประเทศไทยภายใต้การนำของฝ่ายผู้ถืออำนาจตกในสถานการณ์ย่ำแย่
ลง
หลายคนเรียกการแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้
ว่า "ตุลาการรัฐประหาร"
ซึ่งก็จริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการรัฐประหารอย่างหนึ่ง
คือการประหารรัฐด้วยการอ้างอำนาจที่ไม่มีในกฎหมาย แต่อย่างน้อย
ก็ต้องอ้างกฎหมาย แม้จะอ้างอย่างข้างๆ คูๆ ก็ตาม แต่ก็ต้องอ้าง
ย้อน
กลับไปคิดถึง พ.ศ.2476
เมื่อกำลังทหารฝ่ายคณะราษฎรยึดอำนาจจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
เนื่องจากรัฐบาลนั้นได้ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ด้วยการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
อันเป็นอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่มีกฎหมายใดรับรองให้ทำได้
ฝ่ายคณะราษฎรก็อ้างเหตุนี้ในการยึดอำนาจ
กล่าวคือเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญเอาไว้
คณะ
ราษฎรในขณะนั้น มิได้มีอำนาจเด็ดขาดไม่ว่าในทางทหารหรือทางการเมือง
การอ้างกฎหมายจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสริมพลังอำนาจของฝ่ายตน
เช่น
เดียวกับการทำรัฐประหารตุลาการในครั้งนี้
ที่ต้องอ้างกฎหมายก็เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
แสดงให้เห็นอำนาจอันจำกัดลงของฝ่ายผู้ถืออำนาจ
สภาพอำนาจที่ถูกจำกัด
ลงนี้ จะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ และนานเท่าไร คงเถียงกันได้
แต่โดยส่วนตัวแล้ว
ผมไม่เชื่อว่าจะกลับมามีอำนาจกำกับการเมืองเหมือนเดิมได้อีก
หากฝ่ายผู้ถืออำนาจมีสำนึกอย่างเดียวกันเช่นนี้
สิ่งที่ต้องปรับตัว
คือต้องอาศัยกฎหมาย (แต่เพียงความหมายเผินๆ ทางอักษรศาสตร์
หรือบิดเบี้ยวในเชิงกระบวนการก็ตาม) เท่านั้น
ในอันที่จะเข้ามากำกับการเมืองได้ในระดับหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น