หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กองทัพสะท้าน กรรมการสิทธิเฉยชา คดี 98 ศพเข้าไคล

กองทัพสะท้าน กรรมการสิทธิเฉยชา คดี 98 ศพเข้าไคล

 

 

 

มีภาพที่เปรียบเทียบให้เห็นความรู้สึกและท่าทีที่ตรงข้ามกัน อย่างยิ่งระหว่างกองทัพกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในกรณีคดี 98 ศพ ที่เสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553

พลันที่มีผู้นำ หนังสือคำสั่ง ศอฉ. ที่ กห.1407.55 (สยก.) ลงวันที่ 17 เม.ย. 2553 เรื่อง ขออนุมัติแนวทางการปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อ รปภ. ที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติ ณ จุดตรวจ/ด่านตรวจและสายตรวจเคลื่อนที่

ลงนามโดย พล.ท.อักษรา เกิดผล หน.สยก.ศอฉ. เสนอนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ.

ก่อนที่นายสุเทพจะลงนามอนุมัติในวันที่ 18 เม.ย.2553

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และอดีตโฆษก ศอฉ.ก็ออกแถลงในนามกองทัพโดยฉับพลันว่า เอกสารดังกล่าวเป็นฉบับจริง เนื้อหาในรายละเอียดทั้งหมดไม่ใช่เรื่องใหม่

และเป็นการแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัตินั้นมีมาตรการตามหลักสากล

จากเบาไปหาหนัก

ไฉนท่าทีของกองทัพต่อกรณีข้างต้นจึง "ฉับพลันทันที" เป็นอย่างยิ่ง

ก็ต้องพิจารณาลงไปในเนื้อหาของคำสั่งดังกล่าว

โดย เฉพาะใจความสำคัญในข้อ 2.5 ที่ระบุว่า ในกรณีพบความผิดซึ่งหน้าในลักษณะผู้ก่อเหตุใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ หรือใช้อาวุธ/วัตถุระเบิดต่อที่ตั้งหน่วยและสถานที่สำคัญ ที่ ศอฉ.กำหนด ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธยิงผู้ก่อเหตุ เพื่อหยุดยั้งการปฏิบัติได้

แต่หากผู้ก่อเหตุอยู่ปะปนกับผู้ชุมนุมจน อาจทำให้การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่เป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้งดเว้นการปฏิบัติ ยกเว้นในกรณีที่หน่วยได้จัดเตรียมพลแม่นปืน (Marksmanship) ที่มีขีดความสามารถเพียงพอให้ทำการยิงเพื่อหยุดยั้งการก่อเหตุได้

นอกจากนี้ หากหน่วยพบเป้าหมายแต่ไม่สามารถทำการยิงได้ เช่น เป้าหมายอยู่ในที่กำบังฯลฯ

หน่วยสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิง (Sniper) จาก ศอฉ.ได้

สอด คล้องกับบทความในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 เรื่อง "เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง"

ที่สรุปผลการปฏิบัติในการสลายการชุมนุมของประชาชนในเดือนพฤษภาคม 2553 ภาพยิ่งเด่นชัด

เด่นชัดว่านโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันผู้ชุมนุม

เป็นนโยบายกระชับวงล้อมเพื่อ "ยุติการชุมนุม" ไม่ใช่เพื่อ "เปิดการเจรจา"

เอกสาร ดังกล่าวยังยืนยันว่า มีการใช้พลแม่นปืนหรือ "หน่วยสไนเปอร์" เป็นหน่วยแรกในการเข้าสลาย โดยยึดพื้นที่สูงใกล้เคียงการชุมนุมเป็นที่ตั้ง

ระบุว่า

"แผนยุทธการครั้งนี้เป็นการวางแผนการปฏิบัติการรบเต็มรูปแบบ เหมือนการทำสงครามรบในเมือง ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล"

มีการพูดถึงการสั่งการให้ใช้ "กระสุนจริง" ซึ่ง

"ทำให้ทหารที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน มีจิตใจรุกรบมากขึ้น"

ท่าทีของฝ่ายทหารที่พยายาม "ลดกระแส" การรื้อฟื้นคดีหรือการใช้ "พลแม่นปืน" เป็นเครื่องมือในการสลายการชุมนุมของประชาชน

ตรง กันข้ามกับจุดยืนที่สนับสนุนการใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนของรัฐบาล จากของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่สะท้อนผ่านรายงานจำนวน 80 หน้า

ที่สรุปเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนออกเป็น 9 กรณี

และ ชี้ชัดๆ ฟันธงลงไปเลยว่า ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ราย ไปจนถึงการสลายการชุมนุมระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2553

รัฐบาลก็ไม่ผิด

เพราะเมื่อประชาชนชุมนุมด้วยความไม่สงบ

รัฐบาลจึงสามารถใช้อำนาจในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

ขณะที่กรณีสะเทือนความรู้สึกคนทั่วไปมามากที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

กลับถูกสรุปไว้อย่างคลุมเครือว่า "อาจจะ" เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป

จุดยืนที่ "แข็งกร้าว" ยิ่งกว่าทหารอาชีพทั้งหลายในกองทัพของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
 


น่าสนใจ-น่าตกใจ-น่ากังวลใจ 
 
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1345692118&grpid=&catid=12&subcatid=1200

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น