๑๖ สิงหาคม “วันสันติภาพไทย” ได้เวียนมาครบบรรจบ ๖๗ ปีในปีนี้
เป็นมหามงคลยิ่งที่ทางเราทั้งหลายควรน้อมระลึกถึงวันนั้น
วันที่เราประกาศสันติภาพ อันสันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
ถ้าไม่เรียนรู้อดีตที่ผิดพลาดและปรับปรุงแก้ไข
เหตุการณ์นี้เป็น เหตุการณ์สำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ สามารถเทียบกับการกู้ชาติไทยได้ทีเดียว (แต่ อ.ปรีดี ไม่เสนอให้เรียกอย่างนี้ ท่านถือว่ารับใช้ชาติ แต่จะกล่าวดังนั้นแล้วนับว่าสมควรโดยแท้) อันบุคคลที่ทำให้ประเทศไทยมิพ่ายแพ้นั้น ก็คือ “ขบวนการเสรีไทย” ซึ่ง ได้อุทิศชีวิตของตนเพื่อปกป้องเอกราชของประเทศไทย มิยอมจำนนต่อประเทศผู้รุกราน หากมิมีขบวนการนี้ ประเทศไทยย่อมสูญสิ้นเอกราชแต่นั้นมา เหล่าขบวนการเสรีไทยได้เสียสละชีวิตของตนเพื่องานในครั้งนั้น เช่น นายจำกัด พลางกูร เป็นต้น รวมถึงเป็นวันแห่งความ “ปรองดอง” “สมานฉันท์” โดยแท้จริง คือ ขบวนการเสรีไทยนี้ มีทั้งฝ่ายคณะราษฎร์ และฝ่ายคณะเจ้า เข้าร่วมกัน เพื่อปกป้องเอกราชอธิปไตยไว้มิให้ถูกย่ำยี
วันนี้ จึงสมควรยิ่งที่จะมีการรำลึกขึ้น ถึงสมาชิกขบวนการเสรีไทย ผู้ได้ทำคุณานุประโยชน์ต่อประเทศไทย และทำให้เราตระหนักถึงโทษภัยของสงคราม โดยตระหนักไว้ว่า โทษทัณฑ์ของสงครามนั้นเลวร้ายยิ่ง ทำลายล้างผลาญเพื่อนมนุษย์ ในเรื่องนี้ก็อาจจะสามารถช่วยเตือนสติเพื่อนมนุษย์จำนวนหนึ่งที่โดน อุดมการณ์ชาตินิยม “คลั่งชาติ” ที่สนับสนุนทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านให้มีสติได้ และจำเป็นต้องตราพุทธศาสนสุภาษิตไว้คือ “ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ –นตถิ สนติปร สุข”
๑๖ สิงหาคม “วันสันติภาพไทย” ได้ เวียนมาครบบรรจบ ๖๗ ปีในปีนี้ เป็นมหามงคลยิ่งที่ทางเราทั้งหลายควรน้อมระลึกถึงวันนั้น วันที่เราประกาศสันติภาพ อันสันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่เรียนรู้อดีตที่ผิดพลาดและปรับปรุงแก้ไข (ประเทศไทยไม่เคยรำลึกถึงเรื่องนี้เลย แม้ในตำราเรียนก็แทบมิเอ่ยถึง)
ข้าพเจ้าขออ้างคำของ รศ.ดร.วราภรณ์ สามโกเศศ ปิดท้ายท่านกล่าวไว้อย่างน่าสำเหนียกว่า
“เป็น
โอกาสดีที่คนไทยรุ่นปัจจุบัน
จะได้ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในอดีต(วันสันติภาพไทย)
ที่คนรุ่นก่อนได้ใช้สติปัญญา ความสุขุมรอบคอบในการแก้ไขปัญหาของชาติ
และจะได้รำลึกถึงความเสียสละของกลุ่มเสรีไทย ที่ได้ใช้ความสามัคคี
ความร่วมมือกันมุ่งมั่นรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนในยามคับขัน
อย่างกล้าหาญ ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเสมอ
ถ้าเราไม่มีความสำนึกในประวัติศาสตร์แล้ว
ถือได้ว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทอย่างยิ่ง”
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/08/blog-post_24.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น