หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทนำรายงาน ศปช. เสียงจากเหยื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม”

บทนำรายงาน ศปช. เสียงจากเหยื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม”



    
โดย ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ 

 
ความเป็นมาของ ศปช. 

รายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ที่ท่านถืออยู่ในมือนี้ มีจุดเริ่มต้นจากคนหนุ่มสาวกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถทำใจนิ่งเฉยกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนใน เหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้ เป็นการปราบปรามการชุมนุมที่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชน มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงได้แปรเปลี่ยนความเจ็บปวดต่อความอยุติธรรมให้เป็นความ พยายามที่จะรวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด ความพยายามนี้เกิดขึ้นในสภาวการณ์ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามเบี่ยงเบนความรับผิด (accountability) ของตนเอง ด้วยการประกาศว่ารัฐบาลของเขายึดหลักนิติรัฐ “พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนพร้อม ๆ ไปกับการค้นหาความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายบนความเสมอภาคที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียว กัน”[1] ด้วยการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ขึ้นมา  โดยมีนายคณิต ณ นคร ดำรงตำแหน่งประธาน คอป.[2]


แต่ตลอดช่วงเวลาที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล  กระบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกลับไม่มีความก้าวหน้าอย่างที่ ควรจะเป็น แม้อธิบดีดีเอสไอจะแถลงตั้งแต่ปลายปี 2553 ว่ามีคดีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งที่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเข้าข่ายน่า เชื่อว่ามีความตายเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าพนักงาน แต่การส่งมอบคดีไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายก็ เป็นไปอย่างล่าช้า[3] ไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ กับผู้สั่งการ ไม่มีแม้กระทั่งการดำเนินการให้ศาลสืบสวนการตายในกรณีที่เชื่อว่าเป็นผลจาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายผู้ชุมนุมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างกว้าง ขวาง ถูกดำเนินคดีและพิพากษาคดีด้วยข้อหาร้ายแรง  จำนวนมากถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะได้รับการประกันตน 


ในขณะที่ คอป. ก็ตกอยู่ในภาวะคลุมเครือ อิหลักอิเหลื่อ ขัดแย้งในตัวเองระหว่างหน้าที่ของการแสวงหาความจริงกับจุดมุ่งหมายที่ไม่ ต้องการชี้ว่า ใครคือผู้กระทำความผิด[4] 

นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) อันเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจากการ ใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของรัฐ ก็ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสิ้นเชิง  ในระหว่างการล้มตายบาดเจ็บของประชาชนในเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 กสม.ไม่เคยมีความกล้าหาญที่จะออกมาประณามการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของรัฐบาล แม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำร้าย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554  ร่างรายงานของ กสม. ที่ว่าด้วยการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ “หลุด” ออกมาหนึ่งวันก่อน กสม.จะแถลงรายงานดังกล่าวชี้ชัดว่า กสม. เลือกที่จะปกป้องอำนาจรัฐ มากกว่าปกป้องประชาชนธรรมดา เพราะสาระของรายงานดังกล่าวมุ่งพิจารณาว่า “การกระทำของผู้ชุมนุมได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่” แทนที่จะตั้งคำถามว่า “การกระทำของรัฐได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนหรือไม่” ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นว่าระดับของการใช้กำลังอาวุธและทหารเข้าจัดการ กับประชาชนนั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับอาวุธที่ผู้ชุมนุมบางส่วนมี  และจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายประชาชนสูงกว่าฝ่ายเจ้า หน้าที่อย่างเทียบกันไม่ได้[5]  
  
ความไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของ กสม.และ คอป.ว่าจะทำหน้าที่คืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อได้อย่างแท้จริง  ทำให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้นำความตั้งใจดังกล่าวมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อขอความ ร่วมมือกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรม  ผลของการพูดคุยนี้ได้นำไปสู่การจัดตั้ง ศปช. เพื่อทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานในเหตุการณ์ความรุนแรงให้ได้มากที่ สุด ด้วยความหวังว่าในอนาคต เมื่อสังคมไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อการคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ และนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษในที่สุด ฉะนั้น ภารกิจของ ศปช. จึงเสมือนการทำงานคู่ขนานไปกับ คอป. ในการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมเม.ย.-พ.ค. 2553 โดยได้มีการเปิดตัว ศปช. ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2553
                
เมื่อได้จุดมุ่งหมายร่วมกัน พวกเราได้ช่วยกันหาเงินบริจาคเพื่อเป็นเงินเดือนสำหรับเจ้าหน้าที่ของ ศปช. และสำหรับการเดินทางเก็บข้อมูลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บางช่วงเวลาเจ้าหน้าที่ของ ศปช. มี 5-6 คน บางช่วงมีเพียง 2-3 คน บางคนทำเต็มเวลา บางคนทำครึ่งเวลา ขึ้นกับภาระงานและสภาพการเงินของ ศปช.ในแต่ละช่วงเวลา บางคนแม้จะไม่ได้รับค่าจ้างจาก ศปช. แล้ว แต่ก็ยังทำงานให้ศปช.ต่อไป ส่วนนักวิชาการที่มาช่วยงานของ ศปช.นั้น ไม่มีใครได้รับเงินเดือนค่าจ้างแต่ประการใด
 
เสียงจากเหยื่อ

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/08/42164

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น