ส่วนกลางถึงส่วนตน คำวินิจฉัยศาลรธน. ไฉนกฎหมายสับสน
มีปัญหามาตั้งแต่แสดงท่าทีว่าจะเปิดรับวินิจฉัย
กรณีที่มีผู้เข้าร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่รัฐสภากำลังดำเนินการอยู่ เป็นการล้มล้างการปกครอง
จนเมื่อคำวินิจฉัยกลางแบบสรุปประกาศเมื่อศุกร์ 13 กรกฎาคม ปัญหาเดิมก็ไม่ได้หายไปไหน
แถมมีปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามาให้ขบคิด
คนจำนวนหนึ่งระบุว่าให้รอจน "คำวินิจฉัยส่วนตัว" ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแถลงออกมาก่อน
ปัญหาและความสับสนสงสัยอาจจะทุเลาลงไป
แต่ความจริงดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
หลังคำวิจฉัยส่วนตัวในคดีดังกล่าวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายดาวรุ่งจากฮาร์วาร์ด ผู้เอาจริงเอาจังอย่างยิ่งกับการชำระกฎหมายมหาชนของเมืองไทย ระบุว่า
ยิ่งอ่านยิ่งมึนไปกับคำวินิจฉัยส่วนตน 8 ตุลาการ เนื่องจากไม่สอดคล้องเนื้อหาคำวินิจฉัยกลางฉบับศุกร์ 13 เพราะไม่มีตุลาการแม้แต่คนเดียวที่เห็นว่ารัฐสภา "ควร" ทำประชามติถามประชาชนก่อน
ในขณะที่ประเด็นว่ารัฐสภาจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่ เสียงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อตุลาการ 2 คนให้แก้ได้แต่ต้องทำประชามติก่อน
อีก 2 คนบอกทำไม่ได้
ขณะที่อีก 1 คนให้ทำได้
ส่วนที่เหลืออีก 3 เสียง ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นนี้
กรณีที่มีผู้เข้าร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ที่รัฐสภากำลังดำเนินการอยู่ เป็นการล้มล้างการปกครอง
จนเมื่อคำวินิจฉัยกลางแบบสรุปประกาศเมื่อศุกร์ 13 กรกฎาคม ปัญหาเดิมก็ไม่ได้หายไปไหน
แถมมีปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามาให้ขบคิด
คนจำนวนหนึ่งระบุว่าให้รอจน "คำวินิจฉัยส่วนตัว" ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแถลงออกมาก่อน
ปัญหาและความสับสนสงสัยอาจจะทุเลาลงไป
แต่ความจริงดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
หลังคำวิจฉัยส่วนตัวในคดีดังกล่าวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายดาวรุ่งจากฮาร์วาร์ด ผู้เอาจริงเอาจังอย่างยิ่งกับการชำระกฎหมายมหาชนของเมืองไทย ระบุว่า
ยิ่งอ่านยิ่งมึนไปกับคำวินิจฉัยส่วนตน 8 ตุลาการ เนื่องจากไม่สอดคล้องเนื้อหาคำวินิจฉัยกลางฉบับศุกร์ 13 เพราะไม่มีตุลาการแม้แต่คนเดียวที่เห็นว่ารัฐสภา "ควร" ทำประชามติถามประชาชนก่อน
ในขณะที่ประเด็นว่ารัฐสภาจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่ เสียงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อตุลาการ 2 คนให้แก้ได้แต่ต้องทำประชามติก่อน
อีก 2 คนบอกทำไม่ได้
ขณะที่อีก 1 คนให้ทำได้
ส่วนที่เหลืออีก 3 เสียง ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นนี้
ความมึนงงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับระดับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
แม้แต่คณะรัฐมนตรีก็ยังสับสนสงสัย
ถึง ขั้นที่ในการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สุรินทร์ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านนมา นายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา รายงานสรุปคำวินิจฉัยกลางของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า
โดยหลักการคำวินิจฉัยส่วนตัวต้องออกก่อนคำวินิจฉัยส่วนกลาง แต่ศาลเปิดคำวินิจฉัยส่วนกลางก่อน จึงเปิดคำวินิจฉัยส่วนตัวภายหลัง
และคำวินิจฉัยที่ออกมาขัดแย้งกันเอง
เนื่องจาก 8 ตุลาการนั้น มีคำวินิจฉัยที่ชัดเจนเพียง 4 คน ส่วนอีก 4 คน กลับไม่มีการวินิจฉัย
จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในรูปแบบแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือเดินหน้าลงมติในวาระ 3
นำไปสู่ข้อสรุปของที่ประชุมว่าควรรอผลการศึกษาคำวินิจฉัยส่วนตัวอีกครั้งเพื่อให้เกิดความชัดเจนที่สุด
โดยไม่ต้องเร่งรีบแก้รัฐธรรมนูญ
นี่หรือไม่คือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของขบวนการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ?
ทันทีทันควัน
นาย สมฤทธิ์ ไชยวงศ์ โฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงว่า คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการทั้ง 8 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 4 ต่อ 4 กลุ่มแรกที่บอกว่าการแก้ไขมาตรา 291 เป็นอำนาจของรัฐสภาจะแก้ทั้งฉบับหรือรายมาตราก็ได้
ประกอบด้วยนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาล นายบุญส่ง กุลบุปผา นายชัช ชลวร และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี
ส่วน อีก 4 คนอันได้แก่ นายจรูญ อินทจาร นายสุพจน์ ไข่มุกด์ นายนุรักษ์ มาประณีตและนายเฉลิมพล เอกอุรุ มีความเห็นว่าไม่สามารถแก้ทั้งฉบับได้
แต่หากถามว่าจะต้องฟังเสียงทางไหน ต้องไปดูตามคำวินิจฉัยกลาง ในประเด็นที่ 2 ที่ศาลเสนอแนวทางไปให้แล้วว่ารัฐสภาควรทำอย่างไรต่อไป
นาย พิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงเพิ่มเติมว่า เมื่อนัดประชุมก่อนลงมติคำวินิจฉัยกลาง ตุลาการทุกคนต้องจัดทำคำวินิจฉัยส่วนตนมาก่อนแล้ว
ส่วนคำวินิจฉัย ส่วนตนนั้น หากปรับปรุงความเห็นเพิ่มเติมที่ไม่มีผลต่อสาระสำคัญเสร็จแล้วจะส่งให้เจ้า หน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 60 วัน
ก่อนหน้านี้ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการก็ออกมาภายหลังคำวินิจฉัยกลาง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับกรณีนี้
เรื่องที่ไม่แปลกของศาลรัฐธรรมนูญยังเป็นข้อชวนฉงนของสังคมต่อไป
เช่นเดียวกับความสงสัยที่ว่า กฎหมายซึ่งเป็นเครื่องมือในการรักษาระเบียบของสังคม
ที่ตามหลักแล้วควรจะชัดเจน เป็นมาตรฐาน เข้าใจได้โดยง่าย
ทำไมจึงยุ่งยาก ซับซ้อน คดเคี้ยว และนำมาซึ่งข้อโต้เถียงไม่รู้จบ
ดังเช่นที่เป็นอยู่
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1343879606&grpid=01&catid=&subcatid=
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น