ถ้าระวังเสื้อแดงบุกศาล ก็ต้องระวังสื่อเล่นเสื้อแดง
โดย อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
(ที่มา)
เรื่องราวของศาลกับเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นจากการพิพากษาว่าแกนนำเสื้อแดง
ควรจะอยู่ในคุกนั้น ความจริงอาจไม่ใช่เรื่องราวง่ายๆ
ระหว่างศาลกับเสื้อแดงหรอกครับ
แต่อาจจะเป็นเรื่องระหว่าง สื่อ กับ เสื้อแดง หรือเปล่า?
โดยหลักวิชาทางด้านนิเทศศาสตร์เชิงวิพากษ์ ได้มีการพูดถึงเรื่องราวของ
"กระบวนทัศน์ของสื่อที่มีต่อการชุมนุมประท้วง" (protest paradigm)
เอาไว้อย่างน่าสนใจ
โดยพิจารณาเรื่องการนำเสนอข่าวในฐานะการผลิตข่าวด้วยกรอบ-แนวดำเนินเรื่อง
บางประการ (framing)
พูดง่ายๆว่าสื่อไม่ได้รายงานข่าวอย่างเดียว แต่อาจจะสร้าง-ผลิตข่าวด้วย
กรอบแนวคิดหรือกระบวนทัศน์นี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้รับสาร
เข้าใจข้อมูล โดยที่ผู้ผลิตข่าวนั้นทำหน้าที่คัดสรร เบียดขับ หยิบเน้น
และขยายความข้อมูลต่างๆ
อาทิการระบุปัญหา การอธิบายเหตุผล-ที่มาที่ไป นำเสนอการตัดสินถูกผิด หรือแม้กระทั่งการนำเสนอทางออก
กล่าวง่ายๆ ก็คือ สื่อไม่ได้ทำหน้าที่แค่บอกว่า เกิดอะไรขึ้น
แต่สื่อบอกเราว่าเราควรจะมองเรื่องนี้อย่างไร
ซึ่งเมื่อเรื่องราว-ตัวแสดงที่อยู่ในสื่อนั้นถูกผลิต-บอกเล่าผ่านกระบวน
ทัศน์
ก็จะนำไปสู่การเลือกโดยประชาชนว่าใครคือคนที่ควรจะถูกกล่าวหาสำหรับปัญหาที่
เกิดขึ้น
โครงเรื่องหลักของการรายงานการประท้วงนั้น อาจจะมีหลายแบบ อาทิ
โครงเรื่องว่าด้วยเรื่องความไม่เป็นธรรม ซึ่งเน้นเรื่องของความถูกต้อง
ชั่วดี โครงเรื่องว่าด้วยความเห็นอกเห็นใจ
โครงเรื่องว่าด้วยเรื่องของการสร้างความชอบธรรม หรือ
ลดความชอบธรรมที่มีต่อผู้ประท้วง ซึ่งจำนวนมากมักเป้นเสียงส่วนน้อยของสังคม
หรืออาจจะมีโครงเรื่องว่าด้วย
การตรวจสอบค้นหาผู้ที่มีความรับผิดชอบ และ ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายสาธารณะด้วย
จากการศึกษาเรื่องของการรายงานข่าวประท้วงในโลก เขาพบว่า
ข่าวที่ถูกผลิตโดยสื่อนั้นจะเน้นเรื่องการประท้วงในฐานะที่เป็นพฤติกรรมที่
เบี่ยงเบนไปจากพฤติกรรมปรกติ รวมถึงเรื่องของความรุนแรง
และเรื่องของการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ประท้วง
ทั้งที่ผู้ประท้วงส่วนใหญ่นั้นมาประท้วงในลักษณะที่ไม่เข้าข่ายการใช้ความรุนแรงและมีลักษณสันติวิธี
การเน้นการผลิตข่าวในแบบดังกล่าวนี้นำไปสู่การสร้างความคลุมเครือให้กับ
ปัญหาขั้นพื้นฐานที่นำมาสู่การประท้วง
และกลายเป็นการสร้างความไม่น่าเชื่อถือให้กับผผู้ประท้วง
รวมไปถึงอาจเป้นไปได้ที่จะทำให้ไม่เกิดการสนับสนุนการประท้วงในท้ายที่สุด
ดังนั้นในทางกลับกัน หากจะมีการชุมนุมและต้องการเป็นมิตรกับสื่อ
ที่มีฐานันดรของตัวเอง รวมทั้งอยากได้รับการสนับสนุนจากสังคม
ผู้ชุมนุมก็จะต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า fame resonance
หรือความพร้อมเพรียง-คล้องจอง-กึกก้องในการเปล่งเสียงออกมาขององค์ประกอบสาม
ประการ
นั่นคือ ประสบการณ์ตรงในการดำเนินชีวิตของผู้คน ความเชื่อของชุมชน และ การใช้ภาษาของสื่อ
ยิ่งในกรณีที่ความเชื่อของชุมชนนั้นถูกกล่อมเหลามาอย่างยาวนานด้วยเรื่อง
ราวบางอย่าง และสื่อเองไม่ได้มีฐานะ(และฐานันดร) เดียวกับผู้คนจำนวนมาก
ก็เป็นเรื่องยากนะครับที่การเคลื่อนไหวจะได้รับการสนับสนุน
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ผ่านด่านการเล่าเรื่องโดยสื่ออย่างที่แกนนำต้องการ
หรืออย่างที่ปัญหามันเกิดขึ้นขริงๆนั่นแหละครับ
ดังนั้นผมจึงไม่ได้จบบทความนี้อย่างง่ายๆแค่ว่า ต้องการโทษสื่อ
หรือเชื่ออย่างหลับหูหลับตาว่าการมีสื่อทางเลือก จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
เพราะเราคงต้องฝ่าหันเรื่องของกระบวนทัศน์ของสื่อที่ว่าด้วยการประท้วงไปให้
ได้ก่อนครับผม
http://www.prachatai3.info/journal/2012/08/41961
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น