ศาลอ่านคำวินิจฉัยศาลรธน.คดี'สมยศ' - 23 ม.ค.พิพากษา
ศาลอ่านคำวินิจฉัยศาลรธน. ระบุม. 112 ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญด้านการคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออกและหลักนิติธรรม เนื่องจากพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของชาติที่เคารพสักการะ ระบุโทษ 3-15 ปีเหมาะสมแล้วตามกฎหมาย
19 ธ.ค. 55 - ที่ศาลอาญารัชดา ห้อง 701 ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยจากกรณีการยื่นคำร้องของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักเคลื่อนไหวสิทธิแรงงานและแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาเพื่อประชาธิปไตย และนายเอกชัย (สงวนนามสกุล) ในฐานะจำเลยกม.อาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยื่นคำโต้แย้งแก่ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าม. 112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยมีผู้สังเกตการณ์จากองค์กรสิทธิระหว่างประเทศ สถานทูต นักวิชาการ เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สุธาชัย ยิ้่มประเสริฐ ปิยบุตร แสงกนกกุล เดินทางเข้าร่วมรับฟัง รวมกว่า 100 คน ทำให้ต่อมาต้องย้ายไปห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
โดยศาลได้อ่านคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ม.112 มิได้ขัดกับหลักการคุ้มครองเสรีภาพการแสดงออกตามมาตรา 29 และ 45 วรรคหนึ่ง และสอง ตามรัฐธรรมนูญไทย ตามที่ยื่นร้องโดยจำเลย เนื่องจากประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นศูนย์รวมจิตใจอันเป็นที่เคารพรักของประชาชน มีพระมหากรุณาธิคุณกับประชาชนชาวไทยอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งพระมหากษัตริย์ไทยอยู่ในสถานะที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ รัฐจึงต้องให้การคุ้มครองเป็นพิเศษ และชี้ว่า บทลงโทษที่มีอยู่ระหว่าง 3-15 ปี เพราะอยู่ในสถานะหลักของรัฐ และเป็นองค์ประมุขของรัฐ จึงนับว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ และระบุว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล ต้องอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นด้วย
จากคำร้องที่จำเลย ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า ม.112 ขัดต่อ มาตรา 3 วรรคสองหรือไม่ ซึ่งระบุเรื่องหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยดังกล่าวระบุว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ "ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ จะกล่าวหาหรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้ และด้วยพระเกียรติคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการผดุงไว้ซึ่งเกียรติยศของประเทศ และรักษาคุณลักษณะประการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข จึงมีความชอบธรรมที่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองมิให้มีการละเมิดพระมหากษัตริย์ใน ฐานะที่ทรงเป็นประมุขของรัฐและสถาบันหลักของประเทศ" ศาลระบุว่า การกำหนดบทลงโทษ จึงเป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตามหลักนิติธรรม ม.112 จึงสอดล้องกับหลักนิติธรรม ตามมาตรา 3 วรรคสอง
ผู้พิพากษา กล่าวต่อว่า ได้มีการเปลี่ยนเจ้าของสำนวนคดี เนื่องจากมีการโยกย้ายคณะผู้พิพากษาชุดเก่าไปยังต่างจังหวัด เจ้าของสำนวนคดีจึงเปลี่ยนเป็นรองอธิบดีศาลอาญา 2 คนแทน และเนื่องจากมีเอกสารที่เกี่ยวข้องมาก ต้องใช้ระยะเวลาพิจารณาอีกพอสมควร จึงได้นัดวันอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 23 ม.ค. 56
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุขกล่าวว่า ไม่รู้สึกแปลกใจกับคำวินิจฉัยที่ออกมาเท่าใดนัก และเสริมว่าศาลก็ไม่ได้พิจารณาในหลายประเด็นที่ยื่นให้วินิจฉัย เช่น เรื่องม.112 กับหลักสิทธิมนุษยชนสากล หรือเรื่องเสรีภาพในการแสดงออก และกล่าวว่า ตนสมควรได้รับความยุติธรรมและถูกยกฟ้อง เนื่องจากอาจกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะคดีนี้อยู่ในความสนใจของต่างชาติ
"คำวินิจฉัยนี้ยืนยันว่ารัฐไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์" สมยศกล่าว
คารม พลกลาง ทนายความของนายสมยศ กล่าวภายหลังจากการอ่านคำวินิจฉัยว่า การอ่านคำวินิจฉัยวันนี้เป็นไปเพื่อพิจารณาว่าม. 112 ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อไม่ขัด ศาลจึงมีกำหนดอ่านคำพิพากษา โดยมองว่าไม่น่าจะเลื่อนวันดังกล่าวออกไป และกล่าวว่า ไม่น่าจะได้รับการประกันตัวอีก ทั้งนี้ นายสมยศถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 54 และ ถูกปฏิเสธการประกันตัวทั้งหมดแล้ว 10 ครั้ง
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/12/44289
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น