จดหมายถึงอธิบดีราชทัณฑ์: พัทยา คุกนรก? ข้อเสนอแนะจากผู้ต้องขัง
โรงเรียนการเมือง นปช.
เรียน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ข้าพเจ้าไปขึ้นศาลพัทยาในข้อหาร่วมชุมนุมบุกโรงแรมพัทยารอยัลคลิฟฟ์ เมื่อปี 2552 ที่มีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, ส.ส.พายัพ ปั้นเกตุ, ส.ส.วรชัย เหมะ และ อ.สุรชัย แซ่ด่าน รวมอยู่ด้วย
ได้รับการร้องขอจาก อ.สุรชัย ที่ถูกคุมขังอยู่คนเดียวในคุก ต้องเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ย้ายมายังเรือนจำพอเศษพัทยาเพื่อขึ้นศาลพัทยาว่า
สภาพเรือนจำพิเศษพัทยาเหมือน “คุกนรก” ปัญหาที่หนักที่สุดก็คือปัญหา 2 น. คือ “น้ำ” กับ “แน่น” เรือนจำพิเศษพัทยาเปิดทำการเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เพื่อรองรับผู้ต้องขับประมาณ 600 คน แต่ปัจจุบันคุมขังอยู่ 3,600 คน เกินความจุไปถึง 3,000 คน
เมื่อเป็นเช่นนี้ สภาพผู้ต้องขังก็ถูกอัดแน่นกันเป็นปลากระป๋อง เวลานอนต้องสลับหัวสลับเท้า เพื่อให้ส่วนกว้างของร่างกายคือช่วงไหล่ของคนหนึ่งอยู่ที่ช่วงเท้าของอีกคน หนึ่ง ทำให้ใบหน้าแต่ละคนอยู่ตรงช่วงฝ่าเท้าของคนอื่น ต้องนอนดมฝ่าเท้าซึ่งกันและกัน
แต่ขนาดนี้แล้วที่นอนก็ยังไม่พอ จึงต้องมีคนไปนอนบนโถส้วม ใช้กล่องกระดารองนอน เวลามีคนจะไปถ่ายก็ต้องปลุกให้ลุกขึ้น แต่ก็ยังไม่พอ ต้องจัดเวรยามห้องละ 5-10 คน ยืนและนั่งเพื่อให้มีที่ว่างให้คนอื่นๆ นอน เลยกลายเป็นอาชีพรับจ้างเข้าเวรยามทั้งคืน แล้วค่อยแอบงีบหลับตามซอกมุมในตอนกลางวัน ช่างน่าอนาถใจ
ส่วนปัญหาเรื่องน้ำจะปล่อยให้ไหลวันละ 2-3 ชั่วโมง 10 โมงเช้าถึงเที่ยงหรือบ่ายโมง ช่วงเช้า ช่วงเย็นและตลอดทั้งคืนไม่มีน้ำ ผู้ต้องขังจึงเป็นหิดและโรคผิวหนังกันมาก ต้องแก้ปัญหากันเองด้วยการพกน้ำใส่ขวดขึ้นไปบนเรือนนอน ไว้ใช้ล้างก้น ล้างส้วม กลายเป็นขาใหญ่ก็สะดวก คนเข้าใหม่ขาเล็กก็คงลำบาก
สำหรับอาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน ถูกย้ายไปคุมขังอยู่ 5 วัน ศาลก็อนุญาตให้ส่งกลับจากการที่ทนายร้องขอต่อศาลว่าจำเลยอายุ 71 ปีแล้ว และป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และต่อมลูกหมากโต ต้องพบแพทย์ประจำ อีกทั้งข้อหาก็เล็กน้อยเพียง “ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน” เท่านั้นเอง จึงไม่ต้องเบิกตัวจำเลยมาฟังการพิจารณา
อาจารย์สุรชัย บอกว่าอยู่แค่ 5 วัน ก็รู้สึกทรมานสุดๆ ขนาดหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลางอนุเคราะห์เป็นพิเศษแล้วในฐานะเป็นนักโทษคดีการ เมือง อายุมากและป่วย อีกทั้งมีผู้ใหญ่ฝากฝังไว้ โดยให้ไปอยู่แดนสูทกรรมที่ถือว่าดีที่สุดของเรือนจำพิเศษพัทยา และสภาพห้องขังขนาด 5x10 เมตร เท่ากับ 50 ตารางเมตร ต้องนอนรวมกัน 60 กว่าคน ต้องทำยกพื้นขึ้นไปอีก 1 ชั้นจึงจุได้ 60 กว่าคน
มีผู้ต้องขังคนหนึ่งสละที่นอนให้อาจารย์สุรชัย อาจารย์ต้องไต่กระไดลิงขึ้นไปนอน เพราะชั้นล่างอับและผู้ต้องขังสูบบุหรี่กันทั้งห้อง ขืนปล่อยให้คนแก่ที่ป่วยนอนสูดควันบุหรี่ทั้งคืน ไม่เกิน 7 วันก็คงตาย ชั้นบนอากาศค่อนข้างโปร่งหน่อย แต่ก็ยังต้องนอนเอาผ้าอุดจมูก
ที่ลำบากมากคือ อ.สุรชัย ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะบ่อย คืนหนึ่งเกือบสิบครั้ง การปีนกระไดลิงขึ้นลงอันตรายมาก แล้วพอลงมาก็ไม่สามารถเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างปกติ เพราะมีคนนอนอยู่เต็มทางเดิน ต้องค่อยๆ โหนข้ามศีรษะคนอื่นๆ ไป พอปัสสาวะเสร็จก็ไม่มีน้ำราด กลิ่นปัสสาวะกระจายฟุ้งทั้งห้อง ไม่เรียกนรกแล้วจะเรียกอะไร ส่วนการถ่ายหนักต้องกลั้นเอาไว้ ค่อยถ่ายกลางวัน อ.สุรชัย บอกว่าขอติดคุกเพิ่มอีกสองปีดีกว่าไปถูกขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษพัทยา
ดังนั้น การแก้ปัญหา อ.สุรชัย เสนอ 3 ขั้นตอน คือ เฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาว เฉพาะหน้าในการแก้ปัญหา 2 น. คือ น้ำกับแน่น เรื่องน้ำทำอย่างไรที่จะปล่อยให้ใช้วันละ 4 เวลา คือเช้า 1 ชั่วโมง ลงจากตึกขังจะได้ล้างหน้า แปรงฟันอาบน้ำและใช้ในสุขา เที่ยงสัก 1 ชั่วโมง เย็นก่อนขึ้นห้องสัก 1 ชั่วโมง และกลางคืนสัก 20 นาที รวมแล้ว 3 ชั่วโมง 20 นาที แทนการเปิด 10 โมงถึงบ่ายโมง เวลาพอกัน การใช้น้ำก็พอกัน
ทางด้านการแก้ปัญหาคุกแน่น เฉพาะหน้า ขอให้กรมราชทัณฑ์ใช้ระเบียบอย่างยืดหยุ่นต่อเรือนจำพิเศษพัทยา คือตามระเบียบเดิมกำหนดผู้ต้องขังคดีเด็ดขาด โทษ 10 ปีขึ้นไปจึงจะย้ายไปเรือนจำอื่นๆ จึงควรผ่อนผันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โทษตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปก็ควรย้ายได้ด้วยความสมัครใจ และควรมีมาตรการจูงใจให้ผู้ต้องขังอยากย้ายเรือนจำ เพราะผู้ต้องขังโดยทั่วไปเมื่ออยู่ที่ใดเข้าที่แล้วมักคิดว่าเป็นที่ที่ดี ที่สุด หากย้ายไปที่อื่นจะลำบาก จึงไม่อยากย้าย เพราะต้องกลายเป็นคนใหม่ในที่ใหม่ ต้องเริ่มต้นใหม่
ผู้ต้องขังที่เป็นคนในพื้นที่จะไม่ต้องการย้ายเรือนจำ เพราะจะไม่สะดวกในการเยี่ยมญาติ แต่ผู้ต้องขังนอกพื้นที่และผู้ที่ไม่มีญาติจะไม่เป็นปัญหา ก็ให้ทางเรือนจำพิเศษพัทยาต้องอำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการย้ายไปเรือนจำ อื่นๆ
สำหรับการแก้ปัญหาระยะกลาง ก็ควรสร้างแดนและสร้างตึกนอนเพิ่มจากเวลานี้ เรือนจำพิเศษพัทยามีแดนใหญ่และตึกนอนรองรับผู้ต้องขังอยู่ 2 แดน ผู้ต้องขังแออัดกันอยู่แดนละพันกว่าคน มีแดนพยาบาลควบคุมผู้ต้องขังอยู่จำนวนหนึ่งไม่มาก และมีแดนสูทกรรมที่มีผู้ต้องขัง 60 กว่าคน อีกแดนหนึ่งคือแดนหญิง 500 กว่าคน ถ้าเพิ่มแดนและตึกนอนเท่ากับแดนใหญ่อีกหนึ่งแดนก็จะแบ่งเบาความแออัดได้ หนึ่งในสามของผู้ต้องขังชาย ทราบว่าทางเรือนจำมีโครงการสร้างตึกนอนเพิ่มแล้ว รอแต่งบประมาณจากกรมราชทัณฑ์เท่านั้น จึงต้องขอเร่งจากท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์เพราะการเพิ่มขึ้นของผู้ต้องขังมีทุก วัน
ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว ทางกรมราชทัณฑ์จะต้องขยายเรือนจำพิเศษพัทยาเพิ่ม เพราะมีพื้นที่พอจะขยายได้เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองท่องเที่ยว เมืองอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ที่จะเชื่อมต่อกับโครงการทวายโปรเจ็คในอนาคต เพราะเมื่อเมืองขยายตัว สังคมก็โตขึ้น คนก็มากขึ้น คนทำผิดกฎหมายก็มากขึ้น คุกก็จะยิ่งแน่นขึ้นเป็นลูกโซ่
การเป็นเมืองอุตสาหกรรม ท่าเรือน้ำลึกและเมืองท่องเที่ยว ถือเป็นหน้าตาของประเทศ การปล่อยให้เรือนจำพิเศษพัทยากลายเป็น “คุกนรก” ทำให้เป็นที่น่าอับอายต่อชาวต่างประเทศที่ต้องมีคนของเขามาถูกคุมขังอยู่
อ.สุรชัย จึงร้องขอต่อข้าพเจ้าให้ช่วยเป็นปากเป็นเสียงแทนผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ เรือนจำพิเศษพัทยาที่ขอร้องมาทาง อ.สุรชัย อีกที ในฐานะผู้มีประสบการณ์เรื่องคุกและเคยเป็นคณะอนุกรรมาธิการการปกครองสภาผู้ แทนราษฎร ตรวจติดตามศึกษาสภาพความเป็นอยู่ผู้ต้องขังและเรือนจำต่างๆ ทั่วประเทศมาก่อน
หากการร้องขอต่อข้าพเจ้าไม่เป็นผล อ.สุรชัย ที่เป็นสมาชิกขององค์กรกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) หมายเลข 201416 ก็จะร้องต่อคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศให้เข้าไปตรวจติดตามในเรือนจำพิเศษ พัทยา เพราะเป็นสภาพที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมที่เป็นหน้าที่โดยตรงของคณะกรรมการ กาชาดระหว่างประเทศจะต้องดูแล
จึงหวังว่าท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ท่านรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม จะได้พิจารณาแก้ปัญหา เพื่อให้เรือนจำพิเศษพัทยา พ้นจากสภาพ “คุกนรก” ด้วยเถิด
ขอแสดงความนับถือ
(นิสิต สินธุไพร)
ผู้อำนวยการโรงเรียน นปช.
1 มกราคม 2556
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2013/01/44616
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น