บูชายัญ
โดย จักรภพ เพ็ญแข
เท่า
ที่ทราบมา
กองกำลังอาชญากรมืออาชีพที่ฆ่าและทำร้ายเจ้าหน้าตำรวจกลางกรุงเทพฯ
เมื่อวานนี้ เป็นกองกำลังเดียวกันที่วางแผนก่อกวนมาล่วงหน้า
ไม่ใช่ฝูงชนที่โมโหเจ้าหน้าที่และกระทำการอย่างบันดาลโทสะเช่นที่ นายสุเทพ
เทือกสุบรรณ โกหกกลางเมืองอยู่
เขาเรียกตัวเองว่า “กระเบนธงชลบุรี” นำเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ
ตามข่าวที่ลอยมาว่าโดยฝีมือของ พลตำรวจโทอัศวิน ขวัญเมือง
อดีตนายตำรวจฝ่ายเหลืองที่เป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหนึ่งในสี่คนของ
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อยู่ในขณะนี้ “กระเบนธงชลบุรี”
ถูกนำมาแทนที่กลุ่มเดิมที่ชื่อเสียไปแล้วคือ นักรบศรีวิชัย หรือ
กองทัพศรีวิชัย ซึ่งแสดงความเป็นชาวใต้มากเกินไปหน่อย
คนที่มีคนเชื่อกันมากว่าอยู่เบื้องหลังแท้ๆ อย่าง นายชวน หลีกภัย
จึงขอให้แปลงร่างเป็นอีกชื่อหนึ่ง แต่ก็คงเป็นสายพันธุ์เดิม วลีทีติดปากว่า
อันธพาลครองเมือง จึงนำมาใช้ได้อย่างตรงต่อความหมายที่สุดในขณะนี้
แต่สิ่งที่เราต้องเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือ
ใครมันอนุญาตให้คนเหล่านี้มากระทำการเยี่ยงนี้ได้
คนใหญ่ที่สุดในประเทศนี้คือใคร เคยประกาศธรรมของผู้ครองอำนาจไว้อย่างไร
เมื่อมีเรี่ยวแรงจะออกมาดูหมูหมากาไก่ได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมไม่ดูคน
หรือพอใจเสียแล้วที่บ้านเมืองเป็นเช่นนี้
การที่เราเขม้นมองแต่ตัวผู้ปฏิบัติการภาคสนามอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ
เพราะกุ๊ย อันธพาล และเหล่าร้ายข้างถนน
ย่อมอยู่ใต้อาณัติของมาเฟียใหญ่อีกต่อหนึ่ง
ไม่มีสุญญากาศแห่งอำนาจในวงการใต้ดิน
เราจึงต้องมองสองระดับนี้ไปพร้อมกันเสมอ จึงจะเห็นปัญหาประเทศไทยได้ชัด
หลาย
ท่านถามว่า เมื่อสถาบันหลักของชาติเกิดวินาศกาเลไปแล้วทั้งหมดเช่นนี้
เราจะอาศัยสถาบันนอกชาติอย่างองค์การสหประชาชาติได้บ้างไหม
บางท่านยกตัวอย่างกัมพูชาที่เคยอยู่ภายใต้คณะปกครองพิเศษที่เรียกว่า UNTAC
ยาวนานถึงสิบปีมาด้วย ผมตอบตรงๆ ชัดๆ ว่ายังไม่ได้
และเราก็ยังไม่ควรคิดว่าประเทศไทยจะสิ้นหนทางถึงขนาดนั้นด้วย
องค์การสหประชาชาติเข้ากัมพูชาในขณะนั้นเพราะเหตุผลใหญ่ ๒ ประการคือ ๑)
อำนาจรัฐของกัมพูชาแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
และแต่ละเสี่ยงก็อยู่ในมือของกลุ่มอำนาจขนาดย่อย ที่ต้องเรียกว่ากลุ่มโจร
ไม่ใช่กลุ่มการเมืองที่ชอบธรรมเลย
กัมพูชาขณะนั้นจึงอยู่ในสภาพที่ไม่อาจกำหนดใจตนเองได้อีกต่อไป
และประชาชนได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส พูดง่ายๆ คือรัฐนั้นๆ
จะต้องล้มเหลวลงอย่างเด็ดขาดเสียก่อน อำนาจนอกรัฐจึงจะก้าวเข้ามาได้
เราจึงไม่ควรหวังว่าประเทศไทยจะต้องประสบวิบากกรรมถึงขนาดนั้น
(แต่คิดและไตร่ตรองไว้ในใจได้) ๒)
มหาอำนาจรอบกัมพูชาหมดความสนใจที่จะช่วยเป็นกาวใจใดๆ ให้กับกัมพูชาอีกต่อไป
สหรัฐอเมริกากระโดดหนีในยุคที่ ริชาร์ด เอ็ม นิกสัน เป็นประธานาธิบดี
จีนสะดุดขาตัวเองด้วยการหนุนเขมรแดงจนกลายเป็นปิศาจที่คนเขมรทั้งเกลียดและ
กลัว ฝรั่งเศสไร้อำนาจบารมีใดๆ ยกเว้นความเป็นเจ้านายเก่า
เวียดนามจ้องที่จะเข้ามาในกัมพูชาด้วยเจตนาขยายพรมแดนและกลืนชาติ
ไม่ได้คิดช่วย
เมื่อถึงคราวที่มหาอำนาจระดับโลกและระดับท้องถิ่นนัดกันทอดทิ้งกัมพูชาถึง
ขนาดนั้น ก็กลายเป็นนัดบังคับ (forced fight)
ของหน่วยงานอย่างองค์การสหประชาชาติ
ซึ่งกว่าจะขอเรี่ยไรเงินมาบริหารกัมพูชาได้อย่างดี ก็ปาเข้าไปในปีที่สี่
วันนี้
อย่าไปหวังใครเข้ามาช่วยครับ ยังไม่ถึงเวลา และยังไม่ใช่ทางเลือกที่ควรทำ
สิ่งที่ควรทำคือการลงนามให้สัตยาบรรณกับ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
เสียในทันที
เพื่อฟ้องคดีอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติและเตรียมคุกไว้สำหรับสัตว์ร้ายต่าง
ระดับเหล่านี้ในอนาคต
เหมือนที่บาปกรรมตามถึงตัวผู้นำในแอฟริกาและอดีตยุโรปตะวันออกแล้วในขณะนี้
ไม่นานก็ถึงคิวเอเชีย ผมพอจะเข้าใจว่าทำไมท่านถึงยังจึงไม่กล้าลงนาม
ก็เพราะนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทยสมัยสงครามต่อต้านยาเสพติดและการแก้ไขปัญหา
จังหวัดชายแดนใต้
แต่เราคุยกันแล้วนี่ครับว่าประวัติศาสตร์ต้องสร้างทีละขั้น
เอาท่าทีของเขากับท่าทีของเรามาหักลบกัน จนเป็นผลบวกแล้วจึงจะกล้าทำนั้น
สิ่งที่จะเสียประโยชน์ในท้ายที่สุดคือการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย
มาถึงการเมืองระดับนี้แล้ว
ไม่มีทางเลือกที่เราได้หมดหรือเขาเสียหมดหรอกครับท่าน
ทางเลือกที่ประเสริฐสุดในขณะนี้คือ ทำให้คนไทยรุ่นต่อๆ
ไปมีโอกาสได้สัมผัสสิทธิ เสรีภาพ และความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่ารุ่นของเรา
คนอายุหกสิบกว่า ไปจนถึงเก้าสิบกว่า
คิดหรือว่าจะได้อยู่ใช้กรรมไปได้กี่มากน้อย
เอาเวลาที่น้อยลงทุกทีมามอบเป็นเครื่องบรรณาการให้คนรุ่นที่เขายังไม่ปน
เปื้อนเท่ากับรุ่นของเราดีกว่าครับ.
(ที่มา)FB
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น