หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชนชั้นกลางคือมวลชนหลักของขบวนการฟาสซิสต์

ชนชั้นกลางคือมวลชนหลักของขบวนการฟาสซิสต์


 

ทุกวันนี้เราเห็นบทบาทของชนชั้นกลางในการทำลายประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ท่าทีและพฤติกรรมของชนชั้นกลางนี้ ควรจะปิดปากอย่างถาวร พวกที่เคยอ้างถึงความก้าวหน้าของชนชั้นกลางในการสร้างประชาธิปไตย เช่นหลังเหตุการณ์พฤษภา ๒๕๓๕ คนอย่าง เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เคยเชิดชูชนชั้นกลางในบทความ “ม็อบมือถือ” นอกจากนี้กระแสหลักฝ่ายขวาทั่วโลก มักมองอย่างผิดๆ ว่า “ประชาสังคม” อันประกอบไปด้วยชนชั้นกลางและเอ็นจีโอ เป็นพลังหลักในการสร้างประชาธิปไตยอีกด้วย
 
การอธิบายขบวนการฟาสซิสต์ของตรอทสกี้
ในยุคที่ขบวนการฟาสซิสต์ของฮิตเลอร์ขึ้นมามีอำนาจเผด็จการในเยอรมัน นักมาร์คซิสต์รัสเซีย ชื่อ ลีออน ตรอทสกี้ ได้อธิบายว่าทำไมชนชั้นกลางเป็นมวลชนหลักของพวกฟาสซิสต์[1]

ตรอทสกี้ เขียนว่า “ขบวนการฟาสซิสต์จัดตั้งชนชั้นกลางที่อยู่เหนือกรรมาชีพ... ชนชั้นกลางที่เต็มไปด้วยความเกรงกลัวว่าจะจมลงไปเป็นคนงานท่ามกลางการล่มสลายของเศรษฐกิจ มันจัดตั้งชนชั้นนี้ในรูปแบบกองทัพ โดยอาศัยเงินทุนจากทุนใหญ่และความเห็นชอบจากรัฐ เพื่อทำลายทุกส่วนของขบวนการแรงงาน จากซีกปฏิวัติถึงซีกที่อนุรักษ์นิยมที่สุด 

ตรอทสกี้อธิบายว่าทำไมเราไม่ควรเรียกกลุ่มฝ่ายขวาทุกกลุ่มว่าเป็น “ฟาสซิสต์” โดยไม่ตรวจสอบพิจารณาให้ดีก่อน... “ระบบฟาสซิสต์ไม่ใช่เผด็จการธรรมดา การทำลายองค์กรจัดตั้งของกรรมาชีพไม่พอ ต้องมีการทำลายความอิสระทั้งปวงของกรรมาชีพด้วย และชนชั้นนายทุนชนชั้นเดียวไม่มีพลังเพียงพอที่จะกำจัดการจัดตั้งของกรรมาชีพได้ เลยต้องอาศัยพลังมวลชนฟาสซิสต์ของชนชั้นกลางด้วย .... แต่วิธีการนี้เต็มไปด้วยภัยสำหรับนายทุนใหญ่ เพราะถึงแม้ว่านายทุนใหญ่พร้อมจะใช้พวกฟาสซิสต์เขาก็เกรงกลัวและเหยียดหยามมันในเวลาเดียวกัน …… ชนชั้นนายทุนใหญ่ 'ชอบ' ฟาสซิสต์เหมือนคนปวดฟัน 'ชอบ' ให้หมอฟันถอนฟัน ….มันเป็นความจำเป็น

 ชนชั้นกลางที่เป็นฟาสซิสต์คือ “ผู้ประกอบการรายย่อยที่ใกล้จะล้มละลายลูกหลานของเขาที่จบมหาวิทยาลัยและไม่มีงานทำพวกนี้ยินดีรับฟังข้อเสนอของพวกสร้างวินัยด้วยกองกำลัง ….ข้อเสนอของพวกนี้คืออะไร? ในประการแรกต้องบีบคอผู้ที่อยู่ข้างใต้ ชนชั้นนายกลางที่ก้มหัวต่อนายทุนใหญ่หวังจะกู้ศักดิ์ศรีทางสังคมด้วยการปรามชนชั้นกรรมาชีพและคนจนนิยาย เก่าๆ (เรื่องเทวดา) ที่ลอยอยู่เหนือความจริงคือแหล่งที่พึ่งของพวกนี้ การเริ่มต้นใหม่ที่กล้าหาญของฟาสซิสต์ต้องอาศัยวิธีคิดที่ย้อนยุคย้อนสมัย ชนชั้นกลางหรือนายทุนน้อยมอมเมาตนเองในนิยายเกี่ยวกับความเลิศของเชื้อชาติ ตนเอง (หรือชาติศาสนาพระมหากษัตริย์)”

“ในยามที่อาวุธ 'ปกติ' ในรูปแบบตำรวจและทหารของเผด็จการชนชั้นนายทุน พร้อมกับฉากบังหน้าของระบบประชาธิปไตยรัฐสภา ไม่สามารถคุมสังคมให้อยู่ในสภาพสมดุลได้ ยุคของการปกครองแบบฟาสซิสต์ก็มาถึง ระบบทุนนิยมใช้ระบบฟาสซิสต์เพื่อปลุกระดมความบ้าคลั่งของชนชั้นกลางและชนชั้นกรรมาชีพจรจัดที่ตกงาน มวลมนุษย์นับไม่ถ้วนทั้งหลายที่ถูกระบบการเงินของทุนนิยมกดดันจนหาทางออกไม่ได้นั้นเอง นายทุนเรียกร้องผลงานสมบูรณ์ด้วยวิธีการของสงครามกลางเมืองเพื่อสร้างสันติภาพทางชนชั้นเป็นปีๆ การปกครองแบบฟาสซิสต์ใช้ชนชั้นกลางเป็นไม้กระบองใหญ่เพื่อพังทลายทุกอย่างที่เป็นอุปสรรค” 

“หลัง จากชัยชนะของฟาสซิสต์ ทุนการเงินจะรวบอำนาจทั้งหมดในกำมือเหล็ก จะควบคุมทุกสถาบัน ทุกองค์กร ทุกบทบาทของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอำนาจอธิปไตย การบริหาร หรือระบบการศึกษา ทุกส่วนของรัฐและ กองทัพ เทศบาล มหาวิทยาลัย โรงเรียน สื่อมวลชน สหภาพแรงงานและแม้แต่สหกรณ์จะตกอยู่ภายใต้การควบคุม เมื่อรัฐหนึ่งแปรตัวเป็นรัฐฟาสซิสต์ ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงแค่รูปแบบของรัฐบาลเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องมีการสลายองค์กรต่างๆ ของชนชั้นกรรมาชีพให้สิ้นซากไป ต้องมีเครือข่ายอำนาจรัฐที่ฝังรากลึกลงไปในทุกระดับของมวลชน เพื่อให้ชนชั้นกรรมาชีพแปรสภาพไปเป็นอะไรที่ไร้การจัดตั้งอิสระอย่างสิ้น เชิง นั้นคือประเด็นหลักของระบบฟาสซิสต์”


ประเด็นที่เราต้องเข้าใจจากงานเขียนของตรอทสกี้คือ ขบวนการฟาสซิสต์ที่เคยยึดอำนาจรัฐได้ในวิกฤตเศรษฐกิจโลกก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เป็นผลพวงของทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ และเป็นความพยายามของนายทุนและฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะปราบการลุกฮือของขบวนการแรงงานและขบวนการสังคมนิยม ในยุคที่การต่อสู้ทางชนชั้นรุนแรงถึงขั้นวิกฤต การปกครองแบบฟาสซิสต์เป็นที่พึ่งสุดท้ายของชนชั้นนายทุน และองค์กรฟาสซิสต์มีหน้าที่หลักในการทำลายความเข้มแข็งของชนชั้นกรรมาชีพโดยอาศัยยุทธศาสตร์       "ม็อบชนม็อบ" โดยที่รากฐานขบวนการสร้างจากกลุ่มชนชั้นกลางหรือนายทุนน้อยและคนตกงาน

ตำรากระแสหลักมักจะอ้างว่า ฮิตเลอร์ ได้รับการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตย แต่ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจพรรคนาซีได้เสียงสูงสุด 37% ซึ่งน้อยกว่าคะแนนเสียงของพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์รวมกัน 

ในปี 1932 ฮิตเลอร์ เรียกร้องให้ประธานาธิบดี ฮินเดนเบอร์ก ของเยอรมัน แต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ฮินเดนเบอร์กปฏิเสธ  อย่างไรก็ตามพอถึงต้นปี 1933 ทั้งๆ ที่พรรคนาซีกำลังอ่อนแอลง ฮินเดนเบอร์ก ตัดสินใจแต่งตั้ง ฮิตเลอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อยับยั้งการขยายตัวของอิทธิพลแนวคิดสังคมนิยม

ถ้าเราจะเข้าใจการขึ้นมามีอำนาจของฮิตเลอร์ เราจะต้องดูประวัติศาสตร์เยอรมันตั้งแต่ปี 1918 ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 และหนึ่งปีหลังจากการปฏิวัติรัสเซีย  ในช่วงนั้นกรรมาชีพเยอรมันเกือบจะยึดอำนาจได้สำเร็จ แต่ล้มเหลวเพราะขาดพรรคปฏิวัติที่มีประสบการณ์ ต่อมาในปี 1923 มีความพยายามที่จะปฏิวัติอีกครั้ง แต่ถูกพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยหักหลังและปราบปราม นี่คือสถานการณ์ของเยอรมันก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ  วิกฤตินี้ท้าทายสังคมเยอรมันอย่างยิ่ง คือตั้งคำถามทางเลือกว่า จะเดินหน้าสู่สังคมนิยมตามความหวังของกรรมาชีพ หรือจะถอยหลังเข้าสู่ความป่าเถื่อนของพวกนาซี
 
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบันในไทย

นักมาร์คซิสต์จำแนกชนชั้นตามความสำพันธ์กับระบบการผลิต เพราะระบบการผลิตเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตในโลกได้ และความสัมพันธ์กับระบบนี้ที่แตกต่างกัน นำไปสู่อำนาจที่แตกต่างกันในสังคม

ชนชั้นกลางในสังคมเรา เป็น กลุ่มชนชั้นมีความหลากหลายและกระจัดกระจาย มีทั้งชนชั้นกลางเก่าที่กำลังลดลง และชนชั้นกลางใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้น 

คนชั้นกลางเป็นคนที่ไม่ใช่นายทุน และไม่ใช่ลูกจ้างระดับธรรมดา เช่นเกษตรกรผู้ผลิตเองรายย่อย พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการเอง หัวหน้างาน และผู้บริหารที่เป็นลูกจ้างนายทุนแต่มีอำนาจให้คุณให้โทษ

ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มชนชั้นที่ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ บางส่วนขยายจำนวน บางส่วนเริ่มมีน้อยลงเพราะล้มละลาย และชนชั้นนี้มีปัญหาในการรวมตัวกัน เพราะไม่เป็นปึกเป็นแผ่น มีผลประโยชน์ต่างกัน และอาจเป็นคู่แข่งกันด้วย นี่คือสาเหตุที่ชนชั้นกลางต้องไปเกาะติดกับชนชั้นที่มีอำนาจมากกว่า เช่นชนชั้นนายทุนหรืออำมาตย์ แต่บางครั้งในอดีตอาจเคยเกาะติดกับชนชั้นล่างเมื่อมีการต่อสู้แบบ ๑๔ ตุลา ดังนั้นจุดยืนทางการเมืองของชนชั้นกลางจะไม่คงที่ 

ชนชั้นกลางเก่า หรือเกษตรกรรายย่อย กำลังล้มละลาย และคนส่วนใหญ่ในสังคมสมัยใหม่กลายเป็นกรรมาชีพหรือลูกจ้าง ส่วนที่กำลังขยายตัวและเป็นมวลชนหลักของสุเทพ คือ “ชนชั้นกลางสมัยใหม่” ซึ่งประกอบไปด้วยนายทุนน้อยผู้ประกอบการเอง ผู้บริหารในธุรกิจเอกชน หัวหน้างาน และข้าราชการระดับบริหาร

สรุป
ม็อบสุเทพยังไม่ถือว่าเป็นม็อบฟาสซิสต์ แต่ในขณะเดียวกันเป็นม็อบคนชั้นกลางที่พร้อมจะเป็นอันธพาลเพื่อทำลายประชาธิปไตยตั้งแต่สมัยพันธมิตรฯ นี่คือบทบาทแท้ของชนชั้นกลางไทยในวิกฤตการเมืองที่เริ่มต้นในยุครัฐประหาร ๑๙ กันยา 

ที่สำคัญคือ เราไม่สามารถหวังว่าพรรคเพื่อไทย หรือสถาบันต่างๆของรัฐ จะปราบปรามม๊อบคนชั้นกลางที่กำลังคุกคามสิทธิเสรีภาพของเราได้ เพราะพวกนี้ในที่สุดเป็นพวกเดียวกัน หรืออย่างน้อยเกรงใจกัน 

ถ้าเราจะปกป้องประชาธิปไตย คนชั้นล่างระดับรากหญ้าจะต้องรวมตัวกันและใช้พลังมวลชนเพื่อเผชิญหน้ากับกระแสที่มาจากม็อบคนชั้นกลางที่มีจำนวนน้อยกว่าเรา และเราต้องพร้อมจะกดดันพรรคเพื่อไทยที่ไปประนีประนอมกับอำมาตย์ตลอด แต่การใช้พลังมวลชนของเราต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เราต้องเลือกเวทีและสนามรบ ต้องเน้นการจัดตั้งในหมู่คนทำงาน โดยเฉพาะในสหภาพแรงงานในสถานประกอบการต่างๆ และเราต้องแสดงพลังในชุมชนของเราด้วย ไม่ใช่วิ่งเข้าไปตบตีฆ่าฟันม็อบสุเทพโดยไร้ปัญญา 

การนั่งแช่แข็งตนเอง ตามคำแนะนำของ นปช. หรือพรรคเพื่อไทย จะจบลงด้วยเผด็จการครองเมือง

[1] Fascism, Stalinism and the United Front. พิมพ์ครั้งแรกระหว่าง 1930-1933

(ที่มา) 
http://turnleftthai.blogspot.dk/2013/12/blog-post_27.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น