หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ระบอบ “ขาใหญ่”

ระบอบ “ขาใหญ่” 

 


Photo 
โดย อนุสรณ์ อุณโณ
  
นักมานุษยวิทยาชื่อ Hansen และ Stepputat เสนอว่าขณะที่ประเพณีการศึกษาสถาบันกษัตริย์ในทางมานุษยวิทยาไม่สามารถช่วย ให้เข้าใจความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนระหว่างพระราชอาชญา (Royal Sovereignty) กับรูปแบบการปกครองสมัยใหม่ได้ การ “บั่นเศียรพระราชาในทางสังคมศาสตร์” ของ Foucault ก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าเหตุใดกฎหมายที่วางอยู่บนความคิดเรื่องรัฐในฐานะ ศูนย์กลางของสังคมจึงยังคงแพร่หลายหากว่าอำนาจกระจัดกระจายอย่างที่ Foucault กล่าวไว้จริง พวกเขาเห็นว่าแนวคิดอำนาจสูงสุด (Sovereign Power) ของ Agamben สามารถช่วยให้ฝ่าสภาวะชะงักงันทางทฤษฎีดังกล่าวได้ เพราะเป็นการเคลื่อนย้ายความสนใจจากการพิจารณาอำนาจสูงสุดในฐานะแหล่งสถิตย์ ของอำนาจมาเป็นรูปแบบของสิทธิอำนาจที่ก่อตัวขึ้นบนความรุนแรง นอกจากนี้ พวกเขาเสนอแนวคิดอำนาจสูงสุดในทางปฏิบัติ (De Facto Sovereignty) หรือความสามารถในการสังหาร ลงทัณฑ์ และจัดระเบียบวินัยโดยไม่ต้องรับผิด ซึ่งมีหลากชนิดและมักแข่งขันช่วงชิงกันในอาณาบริเวณจำพวกเขตอาณานิคม สังคมหลังอาณานิคม และประเทศที่อยู่ในสภาวะสงคราม อันเป็นอาณาบริเวณที่รัฐไม่ได้เป็นแหล่งสถิตย์ของอำนาจเหนือชีวิตแต่ผู้ เดียวอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าเหนือชีวิต (Sovereign) ที่ประกอบด้วยกลุ่มอาชญากรรม ขบวนการทางการเมือง เจ้าพ่อ หรือบรรดา “ขาใหญ่” ที่ต่างพยายามบังคับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ของตนลงในพื้นที่และบนชีวิตของผู้คน ผ่านการใช้ความรุนแรง


แม้สังคมไทยไม่ได้เติบโตมาอย่างสังคมตะวันตกและประเทศไทยก็ไม่เคยตก เป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการเหมือนเช่นประเทศแถบละตินอเมริกา เอเชียใต้ และแอฟริกา อันเป็นที่มาของบรรดาแนวคิดข้างต้น แต่ด้วยเงื่อนไขจำเพาะบางประการสังคมไทยไม่เพียงแต่อุดมไปด้วย “ขาใหญ่” หากแต่ “ขาใหญ่” ยังเป็นช่องทางที่คนในสังคม นิยมพึ่งพาอาศัย ไม่ว่าจะเป็นการส่งส่วยให้นักเลงหรือ “คนมีสี” สำหรับการประกอบธุรกิจ การจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้เจ้าหน้าที่เวลาติดต่อราชการ การให้ของกำนัลผู้หลักผู้ใหญ่ในการฝากฝังบุตรหลานเข้าทำงาน หรือแม้กระทั่งการบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จสมหวัง เพราะทั้งหมดนี้คือการอาศัยอำนาจของ “ขาใหญ่” ในการทำให้ระเบียบกฎเกณฑ์ปกติไม่ถูกบังคับใช้กับเรา เป็นการอาศัยอำนาจของ “ขาใหญ่” ในการช่วยให้เราบรรลุสิ่งที่เราต้องการในสภาวการณ์ที่เราคิดว่ากติกาหรือ วิธีการปกติไม่สามารถช่วยให้เราบรรลุได้  

ฉะนั้น การเรียกร้องให้แก้ปัญหาทางการเมืองด้วย “วิธีพิเศษ” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในสังคมไทยเพราะเป็นการอาศัยอำนาจของ “ขาใหญ่” ในการช่วยให้บรรลุสิ่งที่ต้องการในสภาวการณ์ที่ไม่สามารถอาศัยกติกาหรือว่า วิธีการปกติได้ การเรียกร้องให้ทหารออกมาทำรัฐประหารก็ดี การขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 ก็ดี รวมถึงข้อเสนอเรื่องสภาประชาชนก็ดี ล้วนอยู่ในครรลองของระบอบ “ขาใหญ่” ทั้งสิ้น แต่ปัญหาข้อฉกรรจ์ของระบอบ “ขาใหญ่” ก็คือว่า แม้มันจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเฉพาะตัวหรือแม้กระทั่งอย่างหลอกๆ แต่การวินิจฉัยและการตัดสินใจขึ้นอยู่กับจริยธรรมของ “ขาใหญ่” เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถตรวจสอบหรือคัดคานได้ จึงไม่มีหลักประกันว่าจริยธรรมของ “ขาใหญ่” จะเที่ยงธรรมแค่ไหน และจะแก้ปัญหากันอย่างไรหากจริยธรรมของ “ขาใหญ่” เกิดไม่คงเส้นคงวาขึ้นมา อันนี้ยังไม่นับรวมข้อเท็จจริงที่ว่าบรรดา “ขาใหญ่” ต่างก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนในปัญหาที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ทั้งสิ้น 


ประสบการณ์จากประเทศแถบละตินอเมริกา เอเชียใต้ และแอฟริกาชี้ให้เห็นว่าระบอบ “ขาใหญ่” ไม่สามารถพาประเทศและสังคมให้รอดได้ในระยะยาวเพราะเปิดโอกาสให้กับการฉ้อฉล การกดขี่ขูดรีด การปล้นสะดม การใช้อำนาจบาตรใหญ่ และการใช้ความรุนแรงโดยไม่มีใครสามารถห้ามปรามหรือเอาผิดได้ ขบวน การชาตินิยมฮินดูสังหารชาวมุสลิมอย่างโหดเหี้ยมในนามชุมชนทางศีลธรรมโดยไม่ มีใครต้องรับผิด ผู้พิพากษาประจำ “ศาลประชาชน” ในแอฟริกาใต้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองที่รัดกุมพอ ขณะที่หลายประเทศในละตินอเมริกาผู้คนต้องอยู่กันอย่างหวาดผวาว่าจะโดนหางเลข จากกลุ่มและขบวนการต่างๆ เมื่อใด  

ระบอบ “ขาใหญ่” จึงไม่น่าจะเป็นทางเลือกหรือว่าทางออกให้กับปัญหาที่สังคมไทยกำลังเผชิญ แต่ถ้าใครอยากเห็นแผ่นดินลุกเป็นไฟและสร้างบาปกรรมไว้ให้ลูกหลานก็เชิญตาม สบายครับ 

(ที่มา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น