พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรครูปแบบเก่าที่ใช้ระบบอุปถัมภ์
เป็น
เรื่องตลกร้ายที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาพรรคไทยรักไทยและพรรคเพื่อไทย
ว่าบิดเบือนประชาธิปไตยและซื้อเสียงเพื่อครองเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา
เพราะถ้าดูตัวเลขการลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์ในรอบ 20
ปีที่ผ่านมาพรรคนี้ไม่เคยได้มากกว่า 1/3 ของคะแนนทั้งหมดทั่วประเทศ
และสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าการตั้งพรรคไทยรักไทย
แน่นอนไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าในระบบการเลือกตั้งของไทยไม่มีการแจกเงิน
โดยทุกพรรค แต่ผลการวิจัยภาคสนามของอาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ และของอาจารย์
แอนดรู วอล์คา จากออสเตรเลีย
ทำให้เราเข้าใจว่าในการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังการสร้างพรรคไทยรักไทย
ประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคผ่านการพิจารณานโยบาย
มากกว่าที่จะเลือกตามความเชื่อว่าต้อง “ระลึกถึงบุญคุณ” ของผู้แจกเงิน
ในระบบการเมืองแบบเก่า ก่อนไทยรักไทย มักจะมี “ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น”
ซึ่งครองเสียงในจังหวัดหนึ่ง และชนะการเลือกตั้งเสมอ
ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นเหล่านี้ อาศัยระบบ “อุปถัมภ์ทางการเมือง”
เพื่อให้ประโยชน์กับประชาชนผู้ที่สนับสนุนเขา
ซึ่งการเลือกนักการเมืองในรูปแบบนี้อาจกล่าวหลวมๆ
ได้ว่าเป็นการเลือกผ่านการพิจารณานโยบายและผลประโยชน์เฉพาะหน้าก็ได้
แต่มันผสมกับการ “ระลึกถึงบุญคุณ” ของผู้มีอิทธิพลด้วย
ตัวอย่างของ “ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น” ได้แก่ บรรหาร ศิลปอาชา, เสนาะ
เทียนทอง, เฉลิม อยู่บำรุง และสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นต้น
แต่มีอีกหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยถึง
ลักษณะสำคัญของการเมืองแบบ “ระบบอุปถัมภ์” ที่ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นใช้เสมอ
คือการดึงงบประมาณมาให้ประโยชน์กับพรรคพวกของตนเอง เพื่อสร้างฐานสนับสนุน
แต่ประเด็นสำคัญสองประเด็นเป็นเรื่องที่เราควรพิจารณาคือ ในประการแรก
ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นไม่สามารถสร้างฐานเสียงทั่วประเทศได้
เพราะการอุปถัมภ์พรรคพวกทั่วประเทศเป็นไปไม่ได้
หลายคนเข้าใจผิดว่าการที่พรรคการเมืองเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์กับคนส่วน
ใหญ่ทั่วประเทศ เป็น “การอุปถัมภ์” แต่มันไม่ใช่
มันเป็นการเสนอนโยบายระดับชาติในระบบประชาธิปไตยสมัยใหม่ต่างหาก
ซึ่งพบในตะวันตก นโยบายระดับชาติเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วประเทศได้
ไม่ว่าจะเลือกพรรครัฐบาลหรือไม่ มันต่างจากการอุปถัมภ์
ซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติ เช่นการให้ตำแหน่งงาน หรือการให้สัมปทานกับเพื่อนๆ
หรือลูกน้อง เป็นต้น
ในประการที่สอง ระบบการเมืองแบบอุปถัมภ์
เป็นระบบที่ไม่มีการเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
และมักขาดลัทธิทางการเมืองประกอบด้วย
ในกรณีพรรคไทยรักไทยหรือพรรคเพื่อไทย
อิทธิพลของการเมืองอุปถัมภ์ถูกลดความสำคัญลงเป็นอย่างมาก
เพราะมีการเสนอนโยบายระดับชาติที่เป็นรูปธรรม เช่น การประกันสุขภาพถ้วนหน้า
และการสร้างงานในชนบท และนโยบายดังกล่าวมีฐานทฤษฏีรองรับอีกด้วย
คือความคิดเรื่องเศรษฐกิจคู่ขนาน หรือการใช้กลไกตลาดเสรีในระดับสากล
บวกกับการใช้งบประมาณรัฐในระดับรากหญ้าเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่ในกรณีพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้
คะแนนเสียงของพรรคมาจากระบบอุปถัมภ์ของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ อิทธิพลของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
โดยที่ตระกูลเทือกสุบรรณพยายามคุมอำนาจในท้องถิ่นมานาน และคนในครอบครัวเป็น
สส. หลายคนด้วย ในขณะเดียวกัน สุเทพ เทือกสุบรรณ
ไม่สามารถและไม่เคยเสนอนโยบายที่ครองใจประชาชนนอกพื้นที่ได้เลย
เขาเป็นตัวอย่างของนักการเมืองแบบเก่า หรือนักการเมือง
“ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น” ที่ชัดเจนมาก และพรรคประชาธิปัตย์ระดับชาติ
ก็ได้แต่วิจารณ์นโยบายต่างๆ ของไทยรักไทย หรือเพื่อไทย
เพื่อแช่แข็งประเทศเท่านั้น
ความเหนือชั้นของไทยรักไทย หรือเพื่อไทย
ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เขาทำมันดีเลิศ ในเรื่องสิทธิมนุษยชน
ไทยรักไทย สอบตกในภาคใต้และสงครามยาเสพติด และในเรื่อง 112
และการนิรโทษกรรมฆาตกร รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็สอบตกเช่นกัน
พรรคประชาธิปัตย์เป็นเสมือนนกสองหัว
เพราะในภาคใต้อาศัยระบบการเมืองอุปถัมภ์ล้วนๆ แต่ในกรุงเทพฯ
ได้คะแนนเสียงจากคนชั้นกลางอนุรักษ์นิยม
โดยที่คนชั้นกลางเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ของพรรค
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้งๆ
ที่จบนอกมาและพูดภาษาอังกฤษเก่ง
แต่เขาก็เป็นนักการเมืองหัวเก่าที่พึ่งพิงทหารเผด็จการและชนชั้นปกครองเก่า
เท่านั้น
และที่สำคัญคือเขาคัดค้านนโยบายที่พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่
เพื่อปกป้องผลประโยชน์คนรวย
การที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองแบบเก่า
ที่อาศัยระบบอุปถัมภ์ในภาคใต้ และฐานเสียงของชนชั้นกลางบางส่วนในกรุงเทพฯ
เป็นสาเหตุที่พรรคนี้ไม่สามารถครองใจคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยได้
นี่คือสาเหตุที่เขาเกลียดชังระบบ “หนึ่งคน หนึ่งเสียง”
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น