สภาประชาชนที่แท้จริง คือสภาคนทำงานในระบบสังคมนิยม ไม่ใช่เผด็จการของสุเทพและของพวกที่อ้างว่าเป็นตัวแทน “ประชาสังคม”
โดย กองบรรณาธิการ
นสพ. เลี้ยวซ้าย
ถ้าไม่มีการเลือกตั้งเสรี
จะมีประชาธิปไตยไม่ได้
การเลือกตั้งเสรีหมายถึงการเลือกตั้งที่ไม่มีอุปสรรค์หรือข้อจำกัดสำหรับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
และผู้ไปลงคะแนนเสียง ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดทางกฎหมาย เงิน หรือความพร้อม ดังนั้นข้อเสนอเหลวใหลของสุเทพและคนอื่นเรื่อง
“สภาประชาชน” ที่ไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ กอดคอกับทหาร และกีดกันคนจนออกไป สอบตกในเรื่องประชาธิปไตยตั้งแต่แรก
แต่ถ้าเราจะพัฒนาประชาธิปไตยและระบบการเลือกตั้งให้ดีกว่านี้
คือดีกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบของรัฐสภาทุนนิยม เรามีตัวอย่างจากคอมมูนปารีสปี 1871
และการปฏิวัติรัสเซียในช่วงระหว่าง 1917-1923
ก่อนที่เผด็จการสตาลินจะขึ้นมาบนซากศพการปฏิวัติสังคมนิยม
ลักษณะการออกแบบเขตเลือกตั้ง และวิธีเลือกตั้งก็มีผลต่อประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก
การเลือกตั้งที่มีประชาธิปไตยมากที่สุด เป็นระบบที่เคยพบในสภาคนงานที่เรียกว่าสภา “โซเวียด” หลังการปฏิวัติ 1917 ในรัสเซีย
เพราะระบบนี้อาศัยการลงคะแนนหรือลงมติหลังจากที่มีการถกเถียงกันอย่างเสรีต่อหน้าผู้ลงคะแนนเสียง
ซึ่งแปลว่าผู้ออกเสียงสามารถพิจารณาข้อถกเถียงของหลายๆ ฝ่าย
นอกจากนี้ผู้ออกเสียงจะสามารถประเมินกระแสความคิดของคนอื่นที่จะลงคะแนนร่วมกันได้อีกด้วย
และที่สำคัญคือ ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากสภาคนงานในสถานที่ทำงาน
จะถูกตรวจสอบตลอดเวลา และถ้าทำอะไรที่ไม่ถูกใจผู้เลือก จะถูกถอดถอนทันทีและมีการเลือกตั้งใหม่
นี่ลักษณะของประชาธิปไตยทางตรงในระบบสังคมนิยม
นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่สมัย คาร์ล มาร์คซ์ จนถึงทุกวันนี้
เป็นกลุ่มคนที่ปกป้องประชาธิปไตยทุนนิยมจากการคุกคามของเผด็จการอย่างคงเส้นคงวามากกว่าสำนักคิดอื่นๆ
ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้ในวิกฤตการเมืองไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ หรือวิกฤตการเมืองในกรีซและอียิปต์เป็นต้น
นักมาร์คซิสต์อย่างโรซา ลัคแซมเบอร์ค
เคยพิจารณาว่านักปฏิวัติมาร์คซิสต์ที่ต้องการล้มระบบทุนนิยมและพัฒนาสังคมไปสู่ประชาธิปไตยเต็มรูปแบบของสังคมนิยม
ควรมีท่าทีอย่างไรต่อประชาธิปไตยครึ่งใบของทุนนิยม
ในหนังสือ “ปฏิวัติหรือปฏิรูป” โร
ซา
ลัคแซมเบอร์ค
อธิบายว่าการต่อสู้ประจำวันเพื่อการปฏิรูปในกรอบสังคมปัจจุบันของทุนนิยม
รวมถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
เป็นโอกาสเดียวของชาวสังคมนิยมที่จะลงมือร่วมสู้ในสงครามชนชั้นของกรรมาชีพ
เพื่อบรรลุจุดเป้าหมายสุดท้าย
คือการยึดอำนาจทางการเมืองและการทำลายระบบการจ้างงานของเผด็จการนายทุน
สำหรับชนชั้นกรรมาชีพระบบประชาธิปไตยทุนนิยมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
เพราะรูปแบบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระบบนี้เช่นการบริหารตนเองและสิทธิใน
การลงคะแนนเสียงชนชั้นกรรมาชีพสามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการแปรรูปสังคมทุน
นิยมได้
การใช้สิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตยในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นทางเดียว
ที่จะทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเกิดจิตสำนึกในผลประโยชน์ของชนชั้นตนเองและภาระทาง
ประวัติศาสตร์ของชนชั้นตนเอง
แต่ประชาธิปไตยไม่ได้มีความสำคัญเพราะจะทำให้การปฏิวัติยึดอำนาจโดยชนชั้น
กรรมาชีพไม่จำเป็นอีกต่อไป
ตรงกันข้ามมันทำให้การยึดอำนาจดังกล่าวมีความจำเป็นชัดเจนขึ้น
และมีความเป็นไปได้มากขึ้นอีกด้วย
สำหรับนักมาร์คซิสต์
ประชาธิปไตยทุนนิยมหรือสิทธิเสรีภาพต่างๆไม่ได้ประทานลงมาจากเบื้องบนหรือถูกออกแบบโดยอภิสิทธิ์ชนแต่อย่างใด
แต่มาจากการต่อสู้ของมวลชนต่างหาก
และการต่อสู้ดังกล่าวอาจ “เปิดเผย” เช่นบนท้องถนนหรือ
“ซ่อนเร้น” เช่น
การต่อสู้เล็กๆน้อยๆประจำวันในสถานที่ทำงานเป็นต้น
ด้วยเหตุนี้การก่อตั้งสหภาพแรงงาน
การออกแถลงการณ์หรือการประท้วงต่อต้านเผด็จการ
และการคัดค้านม็อบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสุเทพ
ล้วนแต่เป็นวิธีหลักในการสร้างประชาธิปไตยทุนนิยม
ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง
“อุบัติเหตุ” หรือ “ความวุ่นวาย” หรือสิ่งที่ “ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตย” ดังที่กระแสหลักชอบเสนอ และเราจะเห็นว่าสำนักมาร์คซิสต์มีให้ความสำคัญกับการรวมตัวกันและการกระทำของพลเมืองในการเปลี่ยนสังคม
โดยเน้นชนชั้นกรรมาชีพและเกษตรกรยากจน
แทนที่จะเน้นชนชั้นกลาง แต่นักวิชาการกระแสหลักมองข้ามบทบาทของชนชั้นกรรมาชีพและคนจนในการสร้างประชาธิปไตยเสมอ
นักมาร์คซิสต์มองว่าการต่อสู้ของมวลชนในฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1986
ในอินโดนีเซียในปี ค.ศ. 1998
หรือในไทยในปี พ.ศ. ๒๔๗๕,
๒๕๑๖ และ ๒๕๓๕ เป็นสิ่งที่เปิดพื้นที่ประชาธิปไตย
และแม้แต่นักวิชาการที่ไม่ใช่มาร์คซิสต์บางคน เช่น Barrington Moore ยังยอมรับว่าประชาธิปไตยทุนนิยมในตะวันตกเป็นผลมาจากการต่อสู้และการปฏิวัติในอดีต
นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของอังกฤษชื่อ E.P.Thompson ชี้ให้เห็นว่าประชาธิปไตยอังกฤษ
เดิมถูกจำกัดไว้ในหมู่คนชั้นสูงและคนมีเงินเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปแบบที่ม็อบสุเทพต้องการในไทยทุกวันนี้
แต่การต่อสู้ของขบวนการแรงงานอังกฤษเช่นกลุ่ม Chartists เป็นสิ่งที่เปิดพื้นที่ให้พลเมืองทุกระดับมีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง
(อ่านต่อ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น