หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประเทศของคนตาเดียว

กฤช เหลือลมัย

บทกวีเชิงตั้งคำถามที่ถูกนำมาอ่านในงาน"แด่ ประเทศของคนตาเดียว: งานแสดงศิลปะและอ่านบทกวี ๒๐ ปีอากง"  เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2554  ณ ร้านตูดยุง เชิงสะพานเฉลิมวันชาติ กทม. 

 ข้าฯ เกิดมาบนแผ่นดิน             ที่ทุกย่านถิ่นไม่มีกลางวัน
ผืนฟ้าของข้าฯ มืดมิด               ด้วยดวงอาทิตย์ข้างแรมดวงนั้น
ลูกข้าฯ อ่านออกเขียนได้         ก็ด้วยอาศัยด้านมืดของดวงจันทร์
ข้าฯ เลี้ยงอีกามากมาย             มันคาบมะเดื่อลายมาให้ทุกวัน
หลังบ้านมีภูเขาครึ่งลูก             ข้าฯ เห็นคนปลูกต้นมะเดื่อบนนั้น
ศาลเจ้าที่ใต้โคนต้น                  คลาคล่ำด้วยผู้คนราวแมงหวี่แมงวัน
แม่น้ำที่ถูกกั้นขวาง                   ไหลมาถึงตรงกลางหนทางตีบตัน
น้ำอาบโคจากเมืองเหนือ          เป็นสีแดงเรื่อเหมือนเลือดกองนั้น
มันหลากท้นล้นฝั่งฝาย              ท่วมบ้านเรือนมากมายชายฝั่งตลิ่งชัน
 

ผู้คนมากมาย              ตายในตอนกลางวัน (ซ้ำ)
......................................
ในความเงียบของค่ำคืน             ข้าฯ ครึ่งหลับครึ่งตื่นบนแผ่นหินอัฒจันทร์
มหาธาตุเจดีย์สูงเด่น                  แต่ข้าฯ แลไม่เห็นเงานภศูลนั้น
น้ำพระเนตรเทวดารักษาทิศ       ตกเป็นโลหิตชโลมฐานปูนปั้น
กบเขียดและฝูงค้างคาว             กลืนกินดินดาวดวงเดือนตะวัน
ข้าฯ เห็นซากหมาเก้าหาง          มันตายในนาร้างแปลงเดียวของเมืองนั้น
ดินดานเกินจักหว่านไถ               ลงผาลคราใดก็แทบหักสะบั้น
อากาศทั้งแน่นและแข็ง              ข้าวมิอาจแทงรวงแม้สักวัน
แดดแรงปานไฟนรก                   ฝนลูกเห็บตกราวห่าเกาทัณฑ์
พื้นผิวทุ่งพระเมรุหลวง                สูบกินผู้ประท้วงตกตายนับพัน
หากชายชราตาบอด                  ยังซบหน้าโอบกอดผืนดินผืนนั้น...
จนหมอกประธุมเกตุ               ตกต้องลำภุขันธ์ (ซ้ำ)
.......................................
 
ไม่ว่ายุคสมัยใด...                       เราต่างก็คล้ายกัน
มีเรื่องราวที่เราคุ้นเคย                แต่หลงลืมเพิกเฉยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ไม่มีใครเห็นรอยเท้า                   บนคันนายาวของนาแปลงนั้น
ไม่มีใครเห็นรอยรองเท้า            บนหลังโก่งยาวของชาวนาเหล่านั้น
และไม่มีใครเห็นรองเท้า            คู่ใหญ่พื้นยาว ในปาก “เขาคนนั้น”
ไม่มีใครเห็นความเคียดแค้น      ที่ถูกฝังแน่นในตำนานของเผ่าพันธุ์
ไม่มีใครได้ยินเสียงสวดศพ        เพราะมันถูกกลบด้วยคำว่า “สมานฉันท์”
ไม่มีใครได้กลิ่นดอกไม้              นอกจากตอนเขาตาย..หรือไม่ก็หลับฝัน

เคยคิดบ้างไหม.. “เรา” คือใครกัน ? (ซ้ำ)
..เราคือไฟในถังแดง            คือหอกดาบที่ฟันแทงผู้คนเหล่านั้น
คือสะเก็ดระเบิดในร่าง           คือปลอกถุงยางที่ควบคุมความคิดฝัน
คือเชือกที่ขึงจนตึง              คืออิฐก้อนหนึ่งในกำแพงขวางกั้น
คือปลาเน่าตัวเดียวในข้อง     คือกระเบื้องที่ลอยฟ่องเฟื่องฟูแผ่นนั้น
คือตัวโน้ตที่ผิดเพี้ยน            คือเพลงที่วนเวียนซ้ำซากทุกวี่วัน
คือคำถ้อยอันหยาบช้า           คือบทกวีที่พาคนไปตายนับพัน
คือนิ้วที่เหนี่ยวไกปืน             คือตีนที่เหยียบยืนบนหัวคนทุกชนชั้น
คือสีเหลืองในกองขี้             คือสีแดงในผ้าอนามัยผืนนั้น
เราทำอะไร   ลงไปด้วยกัน ? (ซ้ำ)
..............................
 
มันเหมือนเรามีตาข้างเดียว    เห็นภาพบิดเบี้ยวสับสนงงงัน
เหมือนเรามีหูข้างเดียว                   รับรู้เพียงส่วนเสี้ยวของเรื่องราวเหล่านั้น
เหมือนเรามีจมูกข้างเดียว      ได้แต่กลิ่นฉุนเฉียวของฝ่ายตรงข้ามกัน
ทุกเรื่องราวที่ผ่านมา            เราจ้องมองด้วยตาบอดสนิทข้างนั้น

หรือว่าที่แล้วมา    เราต่างก็เหมือนกัน ? (ซ้ำ)
........................
 
..เราอาจคือชายตาบอดคนนั้น
..เราอาจคือชายตาบอดคนนั้น
..เราอาจคือชายตาบอดคนนั้น
..เราอาจคือชายตาบอดคนนั้น
..เราอาจคือชายตาบอดคนนั้น
..เราอาจคือชายตาบอดคนนั้น

..................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น