หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระองค์ท่านไปทำอะไรให้พวกมึง?
โดย จิตตนาถ ลิ้มทองกุล
ที่มาบทความ : http://www.manager.co.th

รูปภาพ

อ่านบทความของ ลูกเจ๊กต่างด้าว คนนี้ ในสื่อออนไลน์ แล้วโดนใจอย่างแรง จนต้องขอชมเชยออกมาดังๆผ่าน
โซเชี่ยลมิเดียบ้าง โดยพยายามไม่กล่าวถึงสถาบันเบื้องสูง ตามเนื้อหาของคอลัมม์นิสต์ผู้นี้ เพียงแต่จะสะท้อน
ให้เห็นเบื้องลึกที่มาที่ไปของเป้าประสงค์และพื้นหลังของเจ้าของบทความ ด้วยความชื่นชมในความเข้มข้นของ
สายเลือดลิ้มทองกุล ดังนี้


การวิจารณ์โดยสุจริตจึงเกิดขึ้นน้อยยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
รูปภาพช่างประดิดประดอย “สำนวนได้สวนส้นตีน” เสียนี่กระไร

สิ่งที่น่าเศร้าที่หลายคนที่โดนลัทธิเหมาล้างสมองกลายๆ คือการเอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นแพะรับบาปในทุกเรื่อง
แต่ไม่เคยอ้างอิงถึงนักการเมืองสักเรื่องเดียว แม้ว่าวิกฤติการณ์น้ำท่วม จะทำให้หลายคนได้เริ่มหูตาสว่างบ้างแล้ว
แต่คนที่ยิ่งคิดว่าตัวเองมีภูมิปัญญาเหนือคนอื่น เป็นนักคิดรุ่นใหม่กลับยังคงโดนมิจฉาทิฐิของตัวเองบดบังดังเดิม

รูปภาพไม่น่าเชื่อว่านายจิตตนาถลิ้ม ที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งผ่านการศึกษามาพอประมาณ และทำงานด้านสื่อจากมรดกของ
เตี่ย จะหลงยุคตกโลกไปได้ไกลถึงขนาด ที่ยังงมงายคิดย้อนกลับหลังไปกว่า40ปี หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองเป็นคอลัมน์นิสต์
หนังสือพิมพ์ในประเทศเนปาล โดยกล่าวอ้างถึงลัทธิเหมา โคตะระ เชยผสมมั่ว และซึ่งต้องโง่ด้วย ถ้าหากว่าคิดเช่น
ดังข้อเขียนของตัวเองจริงๆ

ปัญญาชนส้นตีน เหล่านี้ควรไปถามตัวเองดูสักนิดแบบไม่เพ้อฝันว่า ถ้ารัฐไทยใหม่เกิดกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
เอานักการเมืองที่มีอยู่ปัจจุบันมาช่วยกันปู้ยี่ปู้ยำแล้ว เราจะเจริญได้เสี้ยวของเขมรไหม แน่ใจหรือว่าประเทศไทย
จะไม่เกิดสงครามกลางเมือง ระบอบประธานาธิบดีที่พวกคุณใฝ่ฝันจะเป็นศูนย์รวมใจคนไทยได้หรือ จะมีประเทศ
ไทยที่เจริญหลงเหลือให้ นักคิดนักเขียนแนวๆ เหล่านี้ให้ ชูคอเป็นกิ้งก่าโชว์โง่ อย่างทุกวันนี้ไหม

รูปภาพช่างเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่พ้นต้นเสียจริงสำหรับลูกเจ๊กต่างด้าวตนนี้ สมกับที่ร่ำเรียนจบมาเป็นปัญญาชนส้นตีน และ
ประกอบอาชีพเป็น นักคิดนักเขียนแนวๆ ชูคอเป็นกิ้งก่าโชว์โง่ บนกองเงินกองทองที่เตี่ยมัน และเตี่ยของเตี่ย
สืบทอดมรดกโกงเขามา ต่อยอดต้มตุ๋นแบลคเมล์ กู้ชาติจนชาติฉิบหายแต่ตัวคนกู้เสือกรวยเอาๆ เพราะกู้แล้วชักดาบ
ในฐานะกุนซือ “ลูกเจ๊กกู้ชาติ”

อันที่จริงแล้วคำว่าคนไทย ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีบัตรประจำตัวประชาชน เกิดที่ประเทศไทย มีสัญชาติไทย พูดภาษาไทย
หรือร้องเพลงชาติได้ไหม

รูปภาพนายจิตตนาถลิ้ม คงจะทราบที่มาที่ไปของกำพืดตนเองอยู่พอประมาณ จึงอนุโลมตามสมประโยชน์ด้วยในประโยคนี้

:love: จึงขอจบ บทความซึ่งได้ผ่านกระบวนการ .. .. (ผ่านกระบวนการทำ2ครั้ง)
คือ กระบวนการคิด กระบวนการวิเคราะห์ และ กระบวนการแยกแยะ ไว้ด้วยข้อสรุปประโยคตอบคำถามนี้ว่า

แล้ว “พ่อมึงมาทำประโยชน์อะไรให้กับพวกกู” บ้าง

ปริศนา...ชาติกำเนิด.. สนธิ ลิ้มทองกุล ?

รูปภาพ
ประวัติ อุโฆษบุรุษ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ที่ชอบกล่าวอ้างความจงรักภักดีเสมอ (ชื่อเดิม โกตั๊บ แซ่ลิ้ม)
เกิดวันที่ 7 พ .ย. 2490 ที่จ.สุโขทัย เป็นลูกของนายวิเชียร แซ่ลิ้ม อดีตสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง
และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างผู่ กับ นางไชย้ง แซ่ลิ้ม ทั้งคู่ ยักยอกเงินของคาราวาน
ค้าฝิ่นจีนฮ่อ หลบหนีมาตั้งรกรากในประเทศไทยทำกิจการโรงพิมพ์ และออกหนังสือพิมพ์จีน
จำหน่ายให้กับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อมา
ทั้งสองผัวเมียได้เสียชีวิตไปด้วยสาเหตุลึกลับที่ทางญาติไม่ยอมเปิดเผยกับตำรวจ
**หมายเหตุ ข้อมูลเชิงลึก ในกรณีอาชีพของ บิดานายสนธิซึ่งหนีราชการทหาร แต่กลับมีเงิน
ตั้งโรงพิมพ์ (เขาเอาเงินมาจากไหน...ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ)


สนธิ จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยม จากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา รุ่น18 เป็นเพื่อนร่วมรุ่น กับ
นายทนง พิทยะ จากนั้นถูกส่งตัวไปลี้ภัยและเรียนภาษาจีนที่ไต้หวัน พร้อมกับเรียนวิชาวิศวกรรม
เครื่องกลที่เมืองไถ่ต้า เป็นเวลาปีเศษ ก่อนที่จะไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา จนสำเร็จการศึกษาระดับ
ปริญญาตรีที่ยูซีแอลเอ เมืองลอสแองเจลีส

นายสนธิ สมรสกับ นางจันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล (ช่องดารากุล) ชาวจังหวัดตรัง เมื่อ พ.ศ. 2516
ปัจจุบันแยกกันอยู่ มีบุตรชายด้วยกัน คือนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ซึ่งปัจจุบันเป็น ผู้บริหารกิจการ
ในเครือผู้จัดการ นายสนธิ เข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย เมื่ออายุ
ได้เพียง 27 ปี จากนั้นได้ทำงานกับ นายพอล สิทธิอำนวย (ซึ่งโกงเงินธนาคาร 2,000พันล้านบาท
ก่อนที่จะหลบหนีไปอยู่อเมริกาเมื่อ 30ปี)
และรับโอนกิจการในเครือพีเอสกรุ๊ปมาฟรีๆอย่างน่าแปลกใจ
แต่ต่อมาขาดทุน จึงได้ขายกิจการให้กับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา

นายสนธิกลับมาเข้าวงการอีกครั้ง ด้วยการตั้งบริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ทำ นสพ.ผู้จัดการ
รายเดือน
เมื่อปี 2526 และ นสพ.ผู้จัดการรายสัปดาห์ นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2533 แต่ปัจจุบันหุ้นบริษัทในกลุ่มของนายสนธิ ถูกตลาดหลักทรัพย์
แขวนป้ายระงับการซื้อขาย เนื่องจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทตัว
นายสนธิเองถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จึงได้แต่บัญชาการบริษัทในเครือผ่านทางลูกชายที่เป็นนอมินี (นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล)
เดิมนายสนธิให้การสนับสนุนนายกทักษิณ แต่เมื่อนายกทักษิณไม่ยอมเอาเงินภาษีของประชาชนมา
อุ้มชูหนี้สินกว่า 6 พันล้านบาทของนายสนธิ จึงทำให้นายสนธิโกรธแค้นและออกมาขับไล่นายกทักษิณ

ช่างเป็น.....ลูกไม้ ที่หล่นไม่ไกลต้น เสียจริงๆ



รูปภาพ
ยุคสงครามกลางเมืองจีน ระหว่างฝ่าย เจียงไคเช็ค กับ เหมาเจ๋อตุง

การสงคราม ควบคู่ไปกับ การโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อแย่งชิงมวลชน ขับเคี่ยวกันรุนแรงเท่าไหร่ การเข่นฆ่า
และ ลอบทำร้ายสำหรับกลุ่มผู้แบ่งฝ่ายถือข้าง ก็มีความรุนแรงตามไปด้วยเท่านั้น ดังนั้นการที่จะรวบรวม
เงินทองเพื่อส่งไปสนับสนุนการสู้รบในประเทศ จึงต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

รูปภาพ
ดังนั้น บทบาทของ หนังสือพิมพ์จีนโพ้นทะเล ที่เสนอข่าว จึงก้าวเข้ามามีบทบาทในการรับบริจาคเงิน
เพื่อส่งไป ช่วยการสงคราม ในประเทศอีกทางหนึ่ง

โกเชียร
นายวิเชียร แซ่ลิ้ม เจ้าของหนังสือพิมพ์จีนเล็กๆในเวลานั้น ซึ่งก็เป็นพ่อของ นายสนธิ ลิ้มทองกล
ก็คือคนหนึ่งที่ อาสาทำหน้าที่รับเงินบริจาค มาจากทุกสารทิศ เป็นเงินมหาศาล ที่ทำให้ครอบครัว แซ่ลิ้ม
นี้มีฐานะร่ำรวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ว่ากันว่า โกเชียร รับบริจาคเงินเพื่อส่งไปช่วย กั๋วหมิ่นตั๋ง ด้วยเคยเป็นสมาชิก มาก่อน ที่จะอพยพ
ครอบครัว หนีทหารมาอยู่เมืองไทย แต่การที่ทำหน้าที่รวบรวมเงินไปช่วยพรรค กั๋วหมิ่นตั๋ง นั้นก็มีส่วน
ในการลบล้างความผิดในข้อหาหนีทหาร ทำให้นายสนธิ ในฐานะ ทายาทโกเชียร ได้รับการดูแลเป็น
อย่างดี จากรัฐบาลไต้หวัน เมื่อครั้งที่โกเชียรส่งไปเรียนอยู่ที่นั่น

ส่วนสาเหตุที่ โกเชียร และ นางไชย้ง ผู้ภรรยา ตายอย่างเป็นปริศนาดำมืดนั้น มันมีที่มาจาก
การแอบรับเงินบริจาคทั้งสองฝ่าย และเมื่อปี ๒๔๙๒ สงครามกลางเมืองจีนยุติ ก็ได้ฮุบเงิน
บริจาคทั้งหมดเป็นของตน

รูปภาพ
นายสนธิ ลิ้มทองกล จึงเป็น ลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น เจ้าของทฤษฎีสามไม่ คือ
ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ด้วยการชักดาบ เพื่อประกาศตนเป็นผีบุญนำ ลูกจีนกู้ชาติ นั่นเอง

นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหนี้ 6,687 ล้านบาท
หนี้เน่าที่ สนธิสร้างและจะไม่ยอมจ่าย


กู้เงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกว่า 300 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทย 495,080,556.13 ล้านบาท
ธนาคารกสิกรไทย 30,791,780.82 ล้านบาท
ธนาคารเอเซีย 741,728,446.00 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทย 900,978,279.31 ล้านบาท
ธนาคารไทยธนาคาร 431,419,178.07 ล้านบาท
ธนาคารดีเอสบี (ไทยทนุ) 64,621,463.90 ล้านบาท
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต 53 ล้านบาท

และอีกหลาย ๆ ธนาคาร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่าง ๆ อีกมากมาย
ให้ไปอ่านที่ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ จะได้ทราบว่ามันโกงทั้งประเทศไทย และทั้งโลกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น