ร่วมกันผนึกกำลัง ทำให้ข้อเสนอนิติราษฎร์เป็นจริง จากห้องสัมมนาสู่ภาคสนาม
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ในสังคมการเมืองไม่มีอะไรหยุดนิ่งคงที่ อันนี้เป็นหลักวิภาษวิธีมาร์คซิสต์ และหลักศาสนาพุทธด้วย หลังการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วที่นำไปสู่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และหลังการจับมือกันเสมือนมิตรแท้ระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับทหารมือเปื้อนเลือด พร้อมกับการคล้อยคลานตามก้นรัฐบาลของแกนนำเสื้อแดง นปช. เส้นแบ่งในสังคมไทยระหว่าง “คนก้าวหน้าที่รักเสรีภาพประชาธิปไตย” กับ “คนล้าหลังที่อยากให้ไทยเป็นทาสต่อไป” ไม่ใช่ระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองอีกต่อไป เส้นแบ่งอยู่ระหว่างผู้ที่สนับสนุนข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์รวมถึงข้อเสนอของคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) กับทุกคนที่ต้องการปกป้องความมืดป่าเถื่อนล้าหลังของสังคมเผด็จการไทย
เป็นที่น่าเสียดาย (แต่เราไม่ควรแปลกใจ) ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในกลุ่มหลัง ที่น่าเสียดายมากกว่านั้นคือดูเหมือนแกนนำ นปช. ก็อยู่ในกลุ่มที่ปกป้องความมืดด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือเสื้อแดงทุกคนต้องตั้งคำถามว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน
แต่ละคนที่คลานเข้าไปในที่มืด คงมีข้อแก้ตัวต่างๆ นานา ในที่นี้ผมไม่ได้พูดถึงทหารมือเปื้อนเลือดหรือพวกเสื้อเหลือง เพราะเขาเหล่านั้นมีส่วนในการสร้างที่มืดแต่แรก และในกรณีทหารที่ฆ่าประชาชนเป็นประจำ เขาได้ดิบได้ดีจากการสร้างยุคมืดและการใช้กฏหมาย 112 ในการปกป้องสิ่งที่เขาทำมาตลอด
ผมพูดถึงคนเสื้อแดงที่เลิกสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย และเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของขบวนการเสื้อแดงให้กลายเป็นว่าเสื้อแดงสู้และเสียสละเสียชีพ เพื่อให้ยิ่งลักษณ์ เฉลิม และณัฐวุฒิ เป็นรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะลองย้อนกลับไปคิดว่า ในช่วงที่ชุมนุมใหญ่ที่ราชประสงค์ พวกเราทุกคนรวมถึงคนที่เสียสละในพื้นที่ คิดและพูดแบบนั้นหรือไม่ ไม่เลย มีการพูดถึงอุดมการณ์ประชาธิปไตยมากกว่า
ถ้าเราเขี่ยข้อแก้ตัวไร้สาระต่างๆ นานาของฝ่ายที่จับมือกับขบวนการยุคมืดออกไป จะเห็นว่าข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์กับ ครก.112 เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยพื้นฐาน เพราะถ้าเราไม่ลบผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยา และไม่นำคนที่สั่งฆ่าประชาชนและฉีกรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยด้วยความรุนแรงมาลงโทษ รัฐประหารและการเข่นฆ่าประชาชนจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และถ้าเราไม่แก้หรือยกเลิก 112 ประเทศไทยก็จะยังคงมีกฏหมายเผด็จการที่ปิดปากประชาชนไม่ให้พูดในเรื่องสำคัญๆ ทางการเมือง และไม่ให้วิจารณ์พฤติกรรมของกองทัพที่อ้างกษัตริย์ตลอด
นอกจากนี้คนบริสุทธิ์ที่โดนขังในคุกป่าเถื่อนของไทยด้วยกฏหมายนี้ก็จะไม่มีวันถูกปล่อย มันเข้าใจง่ายครับ ดังนั้นการอ้าง “ปรองดอง” เพื่อไม่แตะ 112 และไม่แตะทหารของนักการเมืองเพื่อไทยทั้งหมด และเสื้อแดงบางคน เป็นเพียงการนำใบบัวเล็กๆ มาปิดไดโนเสาร์ที่ตายทั้งตัว
อาจารย์ในกลุ่มนิติราษฎร์ และแกนนำ ครก. 112 เขาก้าวเข้ามาเพื่อจุดไฟนำทางไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตย ถ้ามองว่าเป็นกิฬาวิ่งแข่ง อาจมองว่ารับหน้าที่ต่อจาก บก.ลายจุด และแกนนำเสื้อแดงก่อนหน้านั้นที่เคยนำการต่อสู้แต่ตอนนี้ล้มไปข้างทางแล้ว
ประเด็นสำคัญคือ ท่านผู้อ่าน และกลุ่มเสื้อแดงหรือกลุ่มนักกิจกรรมที่คุณคลุกคลีด้วย กำลังเลือกข้างไหน คุณและพรรคพวกจะเลือกอยู่กับคนที่ต้องการปกป้องความมืดป่าเถื่อนล้าหลังของสังคมเผด็จการไทย หรือคุณจะเลือกข้าง นิติราษฎร์ กับ ครก.112? และผมขอเน้นคำว่า “พรรคพวก” เพราะการเปลี่ยนสังคมไม่เคยเป็นเรื่อง ที่ปัจเจกทำได้ด้วยการนั่งคิด หรือแค่ไปนั่งฟังสัมมนาในฐานะผู้บริโภคความรู้ เราต้องมีพลังที่มาจากการรวมกลุ่มกับคนอื่น และลงภาคสนาม
เราจะร่วมผนึกกำลังเพื่อทำให้ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์และ ครก. 112 เป็นจริงได้อย่างไร? ผมไม่มีสูตรวิเศษอะไร และมันเป็นเรื่องที่เราต้องเร่งคิด ผมเพียงแต่รู้ว่าถ้าเสื้อแดงทุกคนไม่ถามตัวเองว่าเลือกข้างไหน แล้วถามกลุ่มเสื้อแดงที่รู้จักกันว่าพวกเรามีจุดยืนอย่างไร พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิด ถ้านิสิตนักศึกษาและนักวิชาการที่สนับสนุน นิติราษฎร์และ ครก. 112 ไม่จงใจรวมกลุ่มเพื่อเคลื่อนไหวกับคนอื่น พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิด และถ้านักสหภาพแรงงานที่มีอำนาจซ่อนเร้นทางเศรษฐกิจ ไม่ถามตนเองและเพื่อร่วมขบวนว่าจะเลือกข้างไหน พลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงก็จะไม่เกิดเช่นกัน ....แต่แค่นั้นก็ไม่พอ
การเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ว่าจะเป็นในไทย อียิปต์ ยุโรป หรือในกลุ่ม Occupy ที่สหรัฐ ไม่เคยเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีการชุมนุมเดินขบวน ถ้าไม่มีการประท้วงโดยหลากหลายวิธี และถ้าไม่มีความพยายามที่จะนัดหยุดงานด้วย ซึ่งแน่นอนสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ปัจเจกที่ไม่สังกัดกลุ่มอะไรทำได้
และเมื่อเราต้องทำงานเป็นกลุ่ม มันแปลว่าเราต้องพร้อมจะประนีประนอมบ้างเพื่อสามัคคีขบวนการภายใต้จุดยืนร่วมที่จะ นำไปสู่เสรีภาพและประชาธิปไตย ผมเองมองว่าในเรื่อง 112 ควรยกเลิกเลยโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะเป็นกฏหมายเผด็จการ แต่ผมพร้อมจะร่วมขบวนกับคนที่มีข้อเสนอแบบ ครก. 112 โดยไม่เสียเวลาในการทะเลาะอะไรเล็กน้อยๆ ที่ไม่สร้างสรรค์ในขั้นตอนนี้
สุดท้ายนี้ฝ่ายคลั่งสถาบันชอบเบี่ยงเบนประเด็นด้วยข้อกล่าวหาและคำถามโง่ๆ เพื่อไม่ต้องมาถกในเนื้อเรื่องจริง คำถามหนึ่งคือเขาถามพวกเราว่า “พ่อแม่ไม่สั่งสอนในทางที่ถูกหรือยังไง” ในกรณีผมพ่อแม่ผมสั่งสอนให้เคารพประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของพลเมืองทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ คือไม่ควรมีสูงมีต่ำ และพ่อแม่ผมสอนให้คัดค้านเผด็จการทหารมือเปื้อนเลือดมาตลอด แต่จริงๆ แล้วมันไม่สำคัญ คนที่มองว่าเรื่องแบบนี้ไม่สำคัญคงจะเป็นคนที่พ่อแม่สอนให้ตอแหลทางการเมือง ปิดกั้นประชาธิปไตย และสนับสนุนทหารมือเปื้อนเลือดมั้ง? และผมก็สงสัยว่าพ่อแม่ของคนเหล่านี้มีส่วนในการเข่นฆ่าประชาชนที่สนามหลวงในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 หรือมีส่วนในการไล่อาจารย์ปรีดีออกจากประเทศก่อนหน้านั้นหรือไม่
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/01/38997
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น