หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เป้าหมายครั้งนี้คือ บดขยี้คนเสื้อแดง!

 

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จาก “โลกวันนี้วันสุข”
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2555

 
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 ว่าด้วยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นขั้นตอนสำคัญที่แสดงว่า การรุกทางยุทธศาสตร์ครั้งล่าสุดของฝ่ายเผด็จการจารีตนิยมได้เริ่มขึ้นแล้ว
 
พวกเขาได้หันมาใช้ตุลาการเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยซ้ำ แล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย จนถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย พวกเขายิ่งทำ ก็ยิ่งโจ่งแจ้ง ไร้ยางอาย เป็นที่ประจักษ์สายตาแก่ประชาชนทั่วไป
 
พวกจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับฝ่ายประชาธิปไตยมาแล้วห้าครั้ง ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2544 จนถึงพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ที่พวกเขาเชื่อว่า จะสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แต่กลับประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน จึงเป็นที่ชัดเจนว่า สนามเลือกตั้งได้กลายเป็นสนามหลักของฝ่ายประชาธิปไตยไปแล้ว พวกเขาไม่มีทางที่จะเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งได้ในอนาคตอัน ใกล้
 
พวกจารีตนิยมจึงยังคงใช้วิธีการเดิมที่ทำสำเร็จมาแล้วทุกครั้งตลอดหลาย สิบปีมานี้ คือการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นขั้นตอน ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี โจมตีผ่านสื่อกระแสหลัก สนับสนุนอันธพาลการเมืองออกมาก่อจลาจลบนท้องถนน ให้นักวิชาการและเนติบริกรออกมาทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ให้พรรคประชาธิปัตย์ก่อความวุ่นวายทั้งในและนอกสภา ทั้งหมดเพื่อให้รัฐบาลอ่อนเปลี้ยเสียขวัญ ไม่สามารถควบคุมสั่งการระบบราชการ ไม่อาจทำงานบริหารต่อไปไม่ได้ กลายเป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” แล้วท้ายสุดคือ ให้ทหารก่อรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลในที่สุด
 
นับแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมา ฝ่ายเผด็จการก็ได้มีนวัติกรรมใหม่เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญคือ การใช้ตุลาการและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเริ่มมีขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมึอทางการเมืองทำร้ายฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ จงใจสร้างวิกฤตทางกฎหมายที่ไม่มีทางออก ก่อเป็นสถานการณ์สุกงอมที่นำไปสู่การแทรกแซงโดยกองทัพ
 
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเบื้องต้นอาจเพียงแต่นำไปสู่การยุบพรรค เพื่อไทย (และพรรคร่วมรัฐบาล) แต่ยังไม่อาจโค่นล้มรัฐบาลได้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ฉะนั้น ขั้นตอนต่อไปคือ การใช้องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่มากมาย ทำลายนายกรัฐนมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอาจไปถึงสส.และสมาชิกวุฒิสภาที่ลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด อีกด้วย เป็นการทำลายทั้งรัฐบาลและรัฐสภาไปพร้อมกัน ซึ่งก็คือ ใช้อำนาจตุลาการก่อ “รัฐประหารเงียบ” ทำลายอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติอย่างเป็นกระบวนการ
 
คำถามคือ ในการรุกใหญ่ครั้งนี้ ฝ่ายจารีตนิยมหมายมุ่งเพียงการเปลี่ยนรัฐบาล อุ้มสมให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง ดังเช่นที่ทำมาแล้วกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนเมื่อเดือนธันวาคม 2551  หรือพวกเขามีเป้าหมาย “สูงไปกว่านั้น”?
 
คำตอบขึ้นอยู่กับว่า ในการรุกคราวนี้ เป้าหมายของฝ่ายเผด็จการอยู่ที่ไหน?
 
ถ้าเป้าหมายอยู่เพียงแค่การทำลายพลังทางการเมืองในระบบเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังเช่นที่เคยทำมาแล้วเมื่อปี 2551 พวกเขาก็จะทำลายแต่เพียงนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย แต่ยังรักษาสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ แล้วบีบให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนและพรรคร่วมรัฐบาล “ย้ายขั้ว” มาร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ให้ได้จำนวนคะแนนเสียงในสภามากพอที่จะไปจัดตั้งรัฐบาลใหม่
 
แต่การรุกใหญ่ของพวกจารีตนิยมในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งในอดีต คือไม่ได้มีเป้าหมายอยู่เพียงที่พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เป้าหมายที่แท้จริงในครั้งนี้คือ การทำลายล้างขบวนการคนเสื้อแดง!
 
บทเรียนสำคัญคือ ความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ใช้กลไกรัฐและมาตรการต่าง ๆ ทั้งแจกสินบนและข่มขู่ ไปสลายขบวนคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง จนถึงการสังหารหมู่เมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2554 แต่ก็ไม่อาจทำลายขบวนคนเสี้อแดงลงได้ ข้อจำกัดของระบบการเมืองแบบเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ 2550 คือไม่สามารถใช้กำลังรุนแรงทำลายล้างขบวนประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องและเป็น ระบบได้ เพราะในระบอบรัฐธรรมนูญที่ยังอ้างหลักนิติรัฐอยู่นั้น รัฐบาลถูกจำกัดด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งการมีอยู่ของพรรคฝ่ายค้านในสภา เหล่านี้เป็นปัจจัยขัดขวางที่จำกัดการใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชนให้อยู่ในขอบ เขตที่กฎหมายเปิดช่องไว้ให้เท่านั้น
 
ฉะนั้น ในการรุกใหญ่ครั้งนี้ จะไม่เป็นเพียงการทำลายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แล้วอุ้มรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแทนที่ภายในระบบเลือกตั้งตามปกติของ รัฐธรรมนูญ 2550 แต่จะเป็นการนำไปสู่ระบอบการปกครองเผด็จการอย่างเปิดเผย เปิดโอกาสให้มีการปราบปรามประชาชนครั้งใหญ่ ทั้งด้วยกำลังทหารและกองกำลังติดอาวุธนอกระบบที่พวกเขาได้จัดตั้งรอไว้แล้ว โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญในยามสันติอีกต่อไป
 
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยจะเลือกเส้นทางยอมจำนน ประจบเอาใจ หวังรอ “ความเมตตา” จากพวกจารีตนิยมสักเพียงใดก็ตาม แกนนำพรรคเพื่อไทยแก้ตัวตลอดมาว่า การประนีประนอมก็เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งขั้นรุนแรงและการนองเลือดของ ประชาชน แต่ถึงกระนั้น การปะทะรุนแรงและการนองเลือดก็เกิดขึ้นอยู่ดี ดังเช่นเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2554 และก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในเบื้องหน้านี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในความสูญเสียของประชาชนได้ เพราะการที่พรรคเพื่อไทยดำเนินแนวทางยอมจำนน ก็คือการปล่อยให้ขบวนประชาชนต้องตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยว และเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เอื้อให้ฝ่ายเผด็จการสามารถดำเนินแผนตามขั้นตอน ไปสู่การสูญเสียของประชาชนนั่นเอง ในการนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยก็คือ ผู้ที่ยืนตัวสั่นงันงก มองดูการปราบปรามประชาชนอยู่ต่อหน้า อ้างเรื่อง “ปรองดอง” “หลีกเลี่ยงความรุนแรง” มาปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งปวง
 
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ใหม่ ในเบื้องต้น พวกเขาอาจประสบความสูญเสียที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ขบวนประชาธิปไตยก็คือนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่ผ่านสมรภูมินองเลือด เมษายน-พฤษภาคม 2554 มาแล้ว พวกเขาจึงมีทั้งขวัญ กำลังใจ และประสบการณ์ ปราศจากความหวั่นเกรงต่อภัยคุกคามที่อยู่เบื้องหน้า พร้อมที่จะต่อสู้และเสียสละอย่างยืดเยื้อยาวนาน เพื่อไปสู่ชัยชนะของประชาธิปไตยในที่สุด

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/07/41414

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น