หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โรคร้ายในสังคมไทย....

โรคร้ายในสังคมไทย.... 



ที่ผ่านมาปรากฏการณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในนามพรรคเพื่อไทย และรัฐสภาที่อ่อนแอมีแต่การถอย จะเยียวยารักษาอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ชี้ชัดถึงเนื้อแท้ว่าพรรคนี้มิได้เป็นตัวแทนพลังก้าวหน้า หรือพลังการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง 


โรคร้ายในสังคมไทย....

โรคขาดความยุติธรรม บวกความอ่อนแอและภูมิแพ้ของรัฐบาล

โดย ยังดี โดมพระจันทร์

 
แม้ เราจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งมาครบปีแล้ว แต่ปรากฏการณ์ต่างๆ กำลังบอกเราว่า สังคมการเมืองไทยเป็นโรคร้าย และเรื้อรัง นั่นคือโรคขาดความยุติธรรม ภายใต้ประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ หรืออำมาตยาธิปไตย ภาพสะท้อนสังคมชนชั้นที่ชัดเจน ในช่วงต้นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปรากฏการณ์แรกๆ เรื่องรัฐบาลไม่อาจสั่งข้าราชการช่วงน้ำท่วม สั่งปิดเขื่อนไม่ได้ สั่งเปิดประตูน้ำก็ไม่ได้ เราคาดเดาว่าอาจจะเป็นเฉพาะ กทม. หรือข้าราชการที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้ว่า กทม. ในพรรคฝ่ายค้าน เราสงสัยว่าทำไมทหารไม่ออกมาช่วยกั้นน้ำช่วงสองสัปดาห์แรก ทั้งๆ ที่มีเครื่องมือ และทรัพยากรสมบูรณ์ทุกอย่าง จนปริมณฑลหรือจังหวัดรอบๆ กทม.จมน้ำไปแล้ว ทหารจึงออกมาแจกน้ำแจกข้าวให้ประชาชน

เราเห็นภาพ ความพยายามปรองดองของรัฐบาลกับอำมาตย์ผ่านบทบาทนายกหญิงคนแรกของไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลายฉากหลายตอน ควงคู่อำมาตย์ใหญ่ไปฟังดนตรี จนมาถึงรองนายก เฉลิม อยู่บำรุง ประกาศไม่ยุ่งกับกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ช่วยปลดปล่อยนักโทษการเมือง จนมาถึงวันที่อดีตนายกทักษิณประกาศว่า เขาจะไปตามทางของเขาแล้ว มวลชนคนเสื้อแดงที่สู้อุตส่าห์พายเรือมาส่ง ถือว่าถึงฝั่งแล้วหมดภารกิจแล้ว มีผลให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่คนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง

ปรากฏการณ์ ต่อมา วันที่ 24 มิถุนา อันเป็นวันครบรอบ 80 ปีการปฏิวัติ เป็นวันชาติของไทย ขณะที่มีอำนาจรัฐในมือรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลับไม่ให้ความสำคัญกับวันนี้เลย เหมือนเหยียบจมูกปรีดี พนมยงค์ และอุดมการณ์ของคณะราษฎรผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาถึงการนำ พรบ. ปรองดองเข้าสู่สภา แบบไม่มีใครคาดคิด ราวกับการส่งผู้ป่วยเข้าผ่าตัดในห้องฉุกเฉิน จนหลายฝ่ายรวมทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างตกใจ และอีกหลายอาการ หลายปรากฏการณ์

พรรคเพื่อไทยไร้ภูมิคุ้มกัน

โรคขาด ความยุติธรรม เป็นโรคร้ายที่ซึมซ่าน นานวันภูมิคุ้มกันในตัวรัฐบาลก็สู้ไม่ไหว ฝ่ายตุลาการที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่แต่งตั้งมาโดยคณะรัฐประหาร ย่างสามขุมเข้ามา ขณะที่ปรากฏความวุ่นวายในสภาก็ซ้ำเติม มีการแย่งเก้าอี้ ขว้างปาประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายอำนาจนิติบัญญัติ ความพยายามยัดเยียด พรบ.ปรองดอง เข้าสู่สภา และการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ (รธน.50) ที่ทำคลอดโดยคณะรัฐประหารกลายเป็นชนวนความตึงเครียดครั้งใหม่  
ด้วยยุทธศาสตร์ที่เน้นการปรองดองไม่เชื่อมั่นมวล ชนของตนเอง คอยแต่จะต่อรองกับเครือข่ายอำมาตย์ รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ไม่ฟังเสียงทัดทานจากมวลชนคนเสื้อแดง ไม่ฟังเสียงนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้า ไม่ฟังเสียงของคณะนิติราษฎร์ซึ่งสามารถฉีดยาเสริมภูมิคุ้มกันให้รัฐบาลได้

วันที่ 4 มิถุนายน คณะนิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ เสนอความเห็นเป็นยาฉีดเข็มที่หนึ่ง ว่าเรื่องที่คณะบุคคลซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมขวาตกขอบ เสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า “ตลก” ตามมาตรา ๖๘ เพื่อให้ “ตลก” วินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อันมีผลยกเลิก รธน.50 ทั้งฉบับ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จนได้อำนาจในการปกครองประเทศ ทั้งๆ ที่มีอำนาจเต็มเป็นรัฐบาลอยู่แล้วโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการนั้น  คณะ “ตลก” ได้รีบรับคำร้องไว้พิจารณาเองโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด

คณะ นิติราษฎร์ชี้ว่า สภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกำลังใช้อำนาจของรัฐสภาในฐานะองค์กรตาม รัฐธรรมนูญผู้ทรงอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถูกต้องแล้ว ไม่ใช่การกระทำของ "บุคคล" หรือ "พรรคการเมือง" ตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๘  จะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบางส่วนหรือทั้งฉบับก็ย่อมทำได้ และเคยทำมาแล้ว เช่นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ พ.ศ. 2475 ซึ่งก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นฉบับก้าวหน้าที่สุด และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ พ.ศ. 2534 โดยการจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งก่อให้เกิดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540  ที่ประชาชนมีส่วนร่วมร่างมากที่สุด

นอกจากนี้ “ตลก” ยังไม่ อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้ เนื่องจากไม่ชอบด้วยกระบวนการและขั้นตอนในรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘ ซึ่ง ตลก ก็มาเปิดพจนานุกรมอังกฤษไทยว่าทำได้ หากรัฐสภายอมรับให้คำสั่งของ “ตลก” ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ย่อมส่งผลให้ “ตลก” ขยายแดนอำนาจของตนออกไปจนกลายเป็นองค์กรที่ อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ และมีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตยลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

ศุกร์ที่ 13 รัฐประหารโดยตุลาการ หมอไม่รับเย็บ

คณะ นิติราษฎร์ หรือคลินิกหมอหนุ่ม พยายามสร้างภูมิต้านทานให้พรรคเพื่อไทย ด้วยการวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ ทำให้ศุกร์ที่ 13 กรกฎาเป็นวันที่บ่งบอกว่าโรคร้ายนี้ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน คุกคามจนการเมืองไทยกลายเป็นแผลหนอง และพองแตกให้เราเห็นนั้นมันเป็นจริง มีการทำรัฐประหารขยายอำนาจให้ตัวเองของ “ตลก” อย่างไม่อายใคร ท่ามกลาง กลุ่มคนแต่งตัวเป็นทหารกองทัพปลดแอก สวมหมวกดาวแดงมาช่วยรายล้อมรักษาการณ์ พิทักษ์อำมาตย์ สร้างความฉงนงุนงง ประกอบกับโรคภูมิแพ้ของรัฐบาล และบรรดา สส.พรรคเพื่อไทย ที่อ่อนระทวย หมอบคลาน....ขวัญอ่อน กลัว “ตลก” กลัว คุก กลัวตะราง กลัวกองทัพ อำนาจปืนเมื่อรับฟังคำสั่ง “ตลก” หลังจากไปให้การกันอย่างต้วมเตี้ยมจบลง  ประธานสภาก็ถอยกรูดใจสั่น ตัวเย็น ร้องบอกว่า ให้ทำตามที่ “ตลก” สั่งจนเสียงหลง

อย่าหวังพึ่งใคร อาศัยพลังมวลชน

รัฐสภา ไทยยิ่งไม่ยึดหลักกฎหมายให้อยู่เหนือศาลรัฐธรรมนูญ หรือคณะตลก ก็ยิ่งอ่อนแอลง พรรคเพื่อไทยยิ่งใช้นโยบายปรองดอง ก็ยิ่งรับสารพิษแทนยาบำรุง จากที่เคยออกอุบายกุข่าวรัฐประหารให้คนเสื้อแดงมาช่วยกัน ก็กลายเป็นรัฐประหารโดยตุลาการไปจนได้

นักมาร์คซิสต์ต้องการเห็นสังคมที่บริหารจัดการแบบ “สังคมนิยม” แทนระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ของทุนนิยม

เรา ต้องการเห็นพลเมืองในสังคมร่วมกันกำหนดนโยบายการผลิตและการทำงาน ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย เพื่อตอบสนองความต้องการของเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่เพื่อตอบสนองความโลภและกำไรของคนส่วนน้อย ระบบสังคมนิยมจะพัฒนาฐานะความเป็นอยู่ของทุกคนให้ดีขึ้น และมีความยุติธรรมที่จับต้องได้ ไม่ต้องมาตีความโดยพวกชนชั้นสูง
มวลชนคนเสื้อแดง และผู้รักประชาธิปไตยจะต้องกล้ากำหนดชะตาชีวิตของตนเอง อย่ามัวแต่ถอนหายใจ มองดูคนไข้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ที่แถว่าจะนำประชาชนสู่สังคมใหม่ที่ดีกว่า

ที่ผ่านมาปรากฏการณ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในนามพรรคเพื่อไทย และรัฐสภาที่อ่อนแอมีแต่การถอย จะเยียวยารักษาอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ชี้ชัดถึงเนื้อแท้ว่าพรรคนี้มิได้เป็นตัวแทนพลังก้าวหน้า หรือพลังการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง คงถึงเวลาแล้วที่มวลชนต้องนำตนเอง สร้างพรรคที่เป็นตัวแทนชนชั้นล่าง ด้วยแทนพลังก้าวหน้าสร้างสรรค์ต่อสู้กับอำมาตย์ทั้งหลาย ที่กรายพันธ์สลายร่าง สร้างอวตารออกมาหลายรูปแบบ

พลังไพร่แดง พลังกรรมาชีพเท่านั้นที่จะโค่นเครือข่ายอำมาตย์ลงได้ !!!

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/08/blog-post_6.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น