หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำประกาศแห่งโจรสลัด: ข้อเสนอการปฏิรูประบอบลิขสิทธิ์ของ ‘พรรคไพเรต’

คำประกาศแห่งโจรสลัด: ข้อเสนอการปฏิรูประบอบลิขสิทธิ์ของ ‘พรรคไพเรต’


 
 

ในหมู่ผู้ติดตามการเมืองโลกร่วมสมัยก็คงจะเห็นว่าปัญหาเรื่องระบบ ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออุตสาหกรรมศิลปวัฒนธรรมต่างๆ พยายามจะขยายมาตรการคุ้มครองลิขสิทธิ์จนมันเริ่มเข้ามาลุกล้ำความเป็นส่วน ตัวของประชาชนในโลกไซเบอร์ และทำให้เกิดการต่อต้าน อย่างในกรณีของการต่อต้านร่างกฏหมาย SOPA ในอเมริกาหรือสนธิสัญญา ACTA ในยุโรป คนรุ่นใหม่จำนวนมากเล็งเห็นความสำคัญของปัญหานี้ และทำให้เกิดขบวนการต่อต้านระบอบลิขสิทธิ์ต่างๆ ขึ้นมาบนโลกมากมาย อย่างไรก็ดีขบวนการส่วนใหญ่ก็เป็นขบวนการที่มักจะต่อต้านโดยไม่อาศัยกลไกทาง การเมืองเก่าๆ แบบระบบสภา เช่น การประท้วงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมตามทั้งตามท้องถนนและในโลกออนไลน์หรือ กระทั่งการทำสงครามแบบกองโจรกับระบอบลิขสิทธิ์ในโลกออนไลน์โดยการสนับสนุน การละเมิดลิขสิทธิ์สารพัดรูปแบบ อย่างไรก็ดีในหมู่ขบวนการต่อต้านระบอบลิขสิทธิ์เหล่านี้ ก็มีขบวนการหนึ่งที่ยืนหยัดต่อสู้ในวิถีทางการเมืองแบบเก่า ขบวนการนั้นคือพรรคไพเรต (Pirate Party)

ถ้าหากจะกล่าวโดยรวบรัดตัดความแล้ว พรรคไพเรตคือพรรคการเมืองที่มีนโยบายสนับสนุนกิจกรรมที่ในปัจจุบันถือว่า เป็นกิจกรรมละเมิดลิขสิทธิ์ โดยพรรคนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกที่ประเทศสวีเดน ก่อนจะมีการตั้งพรรคขึ้นอีกในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ผู้เขียนคงจะไม่สาธยายความเป็นมาเป็นไปของพรรคไพเรตในที่นี้ [1] แต่จะเน้นถึงเชิงนโยบายในการปฏิรูประบบลิขสิทธิ์ของทางพรรคในสภายุโรปซึ่งผู้เขียนพบว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ทุกวันนี้คนจำนวนมากที่ได้ยินชื่อพรรคไพเรตแล้วก็ยังคิดว่านี่เป็นการ เล่นตลกอะไรบางอย่าง เนื่องจากพวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งพรรคที่สนับสนุนให้คนทำการ ละเมิดลิขสิทธิ์ในยุคที่การปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์แทบจะเป็นฉันทามติ แห่งยุคสมัยเช่นนี้ อันที่จริงแล้วตั้งแต่ที่พรรคไพเรตแห่งแรกก่อตั้งมาในวันที่ 1 มกราคม 2549 ทางพรรคก็ไม่ได้มีแนวนโยบายที่ชัดเจนและจับต้องได้นักเกี่ยวกับกฏหมาย ลิขสิทธิ์เลย จนหลายๆ คนเข้าใจไปว่าเป้าประสงค์ของพรรคนี้ในภาพรวมคือการกวาดล้างให้กฏหมาย ลิขสิทธิ์หายไปจากโลกซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่ทั้งถึงรากถึงโคนและเพ้อฝันเกินจะ เชื่อว่าจะสามารถทำได้จริง อย่างไรก็ดีเมื่อเดือนกันยายน 2554 ที่ผ่านมา ทางสมาชิกพรรคในสภายุโรปก็ได้ร่วมกับกลุ่ม Green/EFA ในสภาผลักดันข้อเสนอในการปฏิรูปกฏหมายลิขสิทธิ์ที่มีในโลกออกมา ข้อเสนอนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในเดือนกันยายน 2554 มันปรากฏในหนังสือเล่มเล็กๆ นามว่า The Case for Copyright Reform อันเป็นฝีมือการเขียนร่วมกันของ Rick Falkvinge ผู้ก่อตั้งพรรคไพเรตและ Christian Engstrom สมาชิกสภายุโรปที่เป็นตัวแทนจากพรรคไพเรตสาขาสวีเดน [2]


ในสายตาของผู้เขียน หนังสือเล่มนี้น่าจะเปรียบเทียบได้กับ Communist Manifesto ของพรรคไพเรตเลยทีเดียว มันเต็มไปด้วยความเป็นมาเป็นไปในทางประวัติศาสตร์ของแนวคิดเรื่องลิขสิทธิ์ พร้อมกันนั้น ก็เต็มไปด้วยการโจมตีระบอบลิขสิทธิ์ยุคปัจจุบันและบรรดาอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์ ต่างๆ ผ่านการยกหลักฐานต่างๆ มาสนับสนุนทั้งไม่ว่าจะเป็นหลักฐานเชิงประวัติศาสตร์หรือหลักฐานเชิงสถิติ ร่วมสมัย และที่ขาดไม่ได้ก็คือการแสดงจุดยืนทางการเมืองและแนวทางเกี่ยวกับการปฏิรูป ระบอบลิขสิทธิ์ที่เป็นแนวทางของพรรคที่เสนอร่วมกับกลุ่มแนวร่วมในสภายุโรป

ในหนังสือจะพบว่าทางพรรค [3] มีความเห็นชัดเจนว่าการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันเป็นภัยคุกคามเสรีภาพของพลเมืองที่ชัดเจนมาก เพราะอย่างน้อยที่สุด ในทางทฤษฎีแล้ว การตรวจจับการละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตที่ฝ่ายอุตสาหกรรม ลิขสิทธิ์เรียกร้องจะทำไม่ได้เลยหากปราศจากระบบที่จะดักจับข้อมูลการสื่อสาร บนอินเทอร์เน็ตทั้งหมดโดยรัฐ กล่าวอีกแบบคือรัฐต้องสร้างระบบในการ “ดักฟัง” ทุกๆ กิจกรรมต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์ขึ้น ที่ปัญหาคือการสร้าง “เครื่องจักร 1984” เช่นนี้เพื่อจะปกป้องอุตสาหกรรมลิขสิทธิ์ต่างๆ เอาไว้ไม่ให้พังพินาศเป็นสิ่งที่สังคมเสรีไม่ควรจะกระทำ หรือกล่าวอีกอย่างคือ เสรีภาพพลเมืองต่างๆ ไม่ควรจะถูกเอาไปเสี่ยงเพียงเพื่อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้สามารถดำเนินธุรกิจ ได้อย่างราบรื่นแต่เพียงเท่านั้น เพราะสุดท้ายในทางทฤษฎีแล้วเครื่องมือในการสอดส่องอันสมบูรณ์แบบเช่นนี้ไม่ ควรจะถูกสร้างขึ้นเพราะมันจะทำลายสิทธิในการสื่อสารส่วนบุคคลในโลกอินเทอร์ เน็ตไปหมด มันจะทำให้รัฐมีอำนาจล้นพ้นในการกดทับขบวนการต่อต้านรัฐต่างๆ ทั้งหมดและเปลี่ยนอินเทอร์เน็ตให้เป็นเครื่องมือในการควบคุมอย่างสมบูรณ์ และนี่ก็เป็นพันธกิจที่สำคัญพื้นฐานที่พรรคไพเรตจะต้องป้องกันไม่ให้เกิด ขึ้น

แต่พรรคก็ไม่ได้มีแต่นโยบายเชิงรับเท่านั้น อย่างที่กล่าวมาข้างต้นทางพรรคก็มีนโยบายเชิงรุกด้วย และนโยบายเชิงรุกที่ว่าก็คือการปฏิรูปกฎหมายลิขสิทธิ์นั่นเอง แนวทางเชิงรุกนี่ก็ดูจะยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และ “การสู้ระบอบลิขสิทธิ์กลับ” ที่ดูจะเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วที่การปราบปรามเริ่มขึ้นก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่ห่างไกลเกินไปในตอนนี้ เสียด้วย เพราะหลังจากที่ข้อเสนอนี้ออกมาในรอบเกือบหนึ่งปี ก็เกิดกระแสต่อต้านกฏหมายและสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศที่จะทำให้กฏหมาย ลิขสิทธิ์เข้มงวดและรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้คนมากขึ้นอย่างในกรณี SOPA ในอเมริกาและ ACTA ในยุโรป ซึ่งการต่อต้านเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย นี่นับเป็นชัยชนะครั้งแรกๆของฝ่ายต่อต้านระบอบลิขสิทธิ์ในอเมริกาและยุโรปใน รอบหลายต่อหลายปีที่การต่อต้านการขยายตัวของการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในมิติ ต่างๆ ไร้ผล ปัจจุบันจึงเป็นช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากที่ข้อเสนอเชิงนโนบาย ของฝ่ายต่อต้านระบอบลิขสิทธิ์จะได้รับการผลักดันออกไปบ้าง ทั้งนี้ข้อเสนอการปฏิรูประบบลิขสิทธิ์ของทางพรรคไพเรตพอจอสรุปได้เป็น 6 ข้อใหญ่ๆ ดังนี้
  1. คงสิทธิธรรม (moral right) ที่มีเหนืองานไว้ดังเดิม
  2. การแลกเปลี่ยนไฟล์ที่ไม่ได้เป็นการทำเพื่อการค้าต้องเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
  3. สิทธิผูกขาดลิขสิทธิ์ต้องลดลงเหลือ 20 ปีหลังจากมีการเผยแพร่งานสร้างสรรค์
  4. ต้องลงทะเบียนเพื่อรักษาลิขสิทธิ์ไว้ภายหลังสร้างงานมา 5 ปี
  5. การใช้ “แซมเปิล” ต้องเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
  6. ยกเลิกการบริหารลิขสิทธิ์ดิจิตัล (Digital Right Management) อย่างสิ้นเชิง
ข้อเสนอแต่ละข้อล้วนมีคำอธิบายโดยละเอียดในหนังสือ ผู้เขียนจะสรุปคร่าวๆ ดังนี้

ข้อแรก การคงสิทธิธรรมที่มีเหนืองานไว้ดังเดิม เป็นการแสดงจุดยืนของทางพรรคที่ไม่ได้ปฏิเสธการเป็นเจ้าของงานสร้างสรรค์ดัง ที่หลายๆ ฝ่ายเข้าใจ ทางพรรคเห็นว่า “เครดิต” ของผู้สร้างสรรค์งานยังเป็นสิ่งที่สมควรจะคงอยู่เสมอ และการ “ลอกงาน” (plagiarism) ก็ยังจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายที่เจ้าของงานสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้อยู่

ข้อสอง การแลกเปลี่ยนไฟล์ที่ไม่ได้เป็นการทำเพื่อการค้าต้องเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เป็นการยืนยันจุดยืนร่วมกันกับนักกิจกรรมไพเรตทั้งหลายที่เห็นว่าการแลก เปลี่ยนไฟล์ควรจะถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดหากการแลกเปลี่ยนนั้นๆ ไม่ได้เป็นการทำเพื่อการค้า ซึ่งทางพรรคก็ได้เน้นย้ำด้วยว่านิยามของ “การทำเพื่อการค้า” (commercialization) ควรจะเป็นนิยามแบบแคบที่ครอบคลุมเพียงกิจกรรมที่เป็นไปในเชิงธุรกิจอย่างชัด แจ้งเท่านั้นไม่ใช่นิยามแบบกว้างที่ปรากฎในหลายๆ ระบบกฎหมาย [4]

ข้อสาม สิทธิผูกขาดลิขสิทธิ์ต้องลดลงเหลือ 20 ปีหลังจากมีการเผยแพร่งานสร้างสรรค์ ดังที่หลายๆ ฝ่ายทราบกันว่าระยะในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ได้รับการขยายอย่างต่อเนื่องมาโดย ตลอด ทางพรรคเห็นว่าการขยายตัวดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้าง สรรค์งานทางศิลปวัฒนธรรมโดยรวมๆ และมองเห็นว่าการคุ้มครองควรจะถูกจำกัดอยู่เพียงไม่เกิน 20 ปีหลังจากที่มันออกมาสู่สายตาสาธารณชนเท่านั้น ไม่ใช่คุ้มครองอย่างยาวนานหลังผู้สร้างสรรค์ตายไป 50-70 ปีดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันในแทบทุกประเทศ ทั้งนี้ทางพรรคก็มองว่า 20 ปีก็เป็นช่วงเวลาที่มากเกินพอในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของนักลงทุนที่ลงทุน ลงไปในงานทางศิลปวัฒนธรรมหนึ่งๆ แล้ว ก่อนที่มันจะกลับกลายเป็นปัญญาสาธารณะ (public domain) หรือทรัพย์สินทางปัญญาที่สาธารณชนทั้งหมดถือครองร่วมกัน การคุ้มครองที่มากกว่านั้นแม้อาจให้ประโยชน์กับเจ้าของลิขสิทธิ์งานศิลป วัฒนธรรมในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่อไป แต่การรักษาผลประโยชน์ดังกล่าวก็คุ้มกับการที่สาธารณชนจะเสียประโยชน์ที่จะ สามารถเข้าถึงและใช้งานทางศิลปวัฒนธรรมดังกล่าวได้อย่างอิสระ

ข้อสี่ ต้องลงทะเบียนเพื่อรักษาลิขสิทธิ์ไว้ภายหลังสร้างงานมา 5 ปี ในมุมของผลิตศิลปวัฒนธรรม ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในแวดวงการผลิตศิลปวัฒนธรรมยุคปัจจุบันคือการต้องระมัด ระวังไม่ให้งานของตนไปละเมิดลิขสิทธิ์งานของผู้อื่นเนื่องจากการละเมิดโดย ไม่มีเจตนาและไม่รู้ตัวก็อาจมีความผิดได้ ในแง่นี้ระบบการคุ้มครองผลงานทางศิลปวัฒนธรรมโดยอัตโนมัติไม่ได้เป็นเพียง แค่เครื่องอำนวยความสะดวกแก่ผู้สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมให้ได้รับความคุ้ม ครองโดยไม่ต้องลงทะเบียนเท่านั้น แต่มันยังเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์งานต่อยอดงานอื่นๆ ด้วย เพราะในหลายๆ ครั้งการตามหาเจ้าของลิขสิทธิ์เพื่อขออนุญาตก็เป็นไปอย่างยากลำบากหรือเป็น ไปไม่ได้เช่นในกรณีของงานกำพร้า (orphaned works) ต่างๆ อันเป็นงานที่ยังได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายแน่ๆ แต่ตัวผู้สร้างงานกลับไม่ปรากฏ ในแง่นีทางพรรคจึงเสนอแนวทางแก้ปัญหาโดยการบังคับให้งานทุกชิ้นต้องทำการลง ทะเบียนกับหน่วยงานทางลิขสิทธิ์ของรัฐเพื่อจะให้ได้รับการคุ้มครองภายหลัง การสร้างสรรค์งานขึ้นมาในระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้การคุ้มครองโดยอัตโนมัติจะดำรงอยู่เพียง 5 ปีเท่านั้น หากต้องการการคุ้มครองลิขสิทธิ์ต่อ เจ้าของลิขสิทธิ์จะต้องทำการลงทะเบียนเพื่อการคุ้มครองงาน ซึ่งจะขยายการคุ้มครองไปไม่เกิน 20 ปีและกลายเป็นปัญญาสาธารณะไปหลังจากนั้น ระบบนี้จะทำให้ผู้ต้องการใช้งานทางศิลปวัฒนธรรมเพื่อผลิตงานต่อยอด สามารถทำสืบค้นเพื่อทำการขออนุญาติเจ้าของลิขสิทธิ์ให้ถูกต้องก่อนใช้งานได้ อย่างสะดวก และเป็นการแก้ปัญหางานกำพร้าจำนวนมากที่ค้างอยู่ในระบอบลิขสิทธิ์ด้วย เพราะงานเหล่านี้หากไม่ได้รับการลงทะเบียนก็จะถือว่าเป็นปัญญาสาธารณะภาย หลังจากที่มันผลิตมา 5 ปีโดยอัตโนมัติ ซึ่งผู้ใดก็สามารถจะนำไปใช้สร้างสรรค์งานต่อยอดได้โดยอิสระ

ข้อห้า การใช้ “แซมเปิล” ต้องเป็นสิ่งถูกกฎหมาย งานสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมในยุคดิจิตัลจำนวนมากมีลักษณะที่ต้องพึ่งพิง อยู่กับการปะติดปะต่องานสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมชิ้นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิปฮอป คลิปวีดีโอ การตัดต่อภาพเพื่อเล่นมีมหรือทำงานศิลป์ หรือกระทั่งการทำอินโฟกราฟฟิคในบางแบบ ภาษาทางเทคนิคที่ใช้เรียกของส่วนเล็กๆ ของงานทางศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ที่ถูกนำไปใช้ประกอบเป็นงานอื่นคือ “แซมเปิล” อย่างไรก็ดีการใช้งานทางศิลปวัฒนธรรมชิ้นเก่าเพื่อประกอบมาเป็นทางศิลป วัฒนธรรมชิ้นใหม่นี้แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและขยายตัวขึ้น เรื่อยๆ แต่มันก็ไม่มีกฎหมายรองรับความชอบธรรมชัดเจน ทางพรรคจึงเห็นว่าสมควรจะระบุกฎหมายเพื่อรองรับว่าการใช้ในรูปแบบนี้ให้เด่น ชัดเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม ทั้งนี้ตัวแบบจารีตทางลิขสิทธิ์ที่ทางพรรคใช้ก็หยิบยืมมาจากแวดวงทางวิชาการ และแวดวงหนังสือที่การ “อ้างอิง” (quote) งานทางศิลปวัฒนธรรมที่เป็นตัวอักษรนั้นถือว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ทางพรรคก็เห็นว่าสิทธิอันชอบธรรมในการอ้างอิงนี้น่าจะขยายจากตัวอักษรไปรวม ถึงสิทธิอันชอบธรรมในการอ้างอิง ตัวโน๊ต เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวในงานด้วย และแน่นอนว่านี่หมายถึงการ “อ้างอิง” ที่จะต้องบอกที่มาหรือ “ให้เครดิต” เท่านั้น ไม่รวมถึงการใช้ข้ออ้างนี้เพื่อการ “ลอกงาน” เพราะนั่นเป็นการนำงานทางศิลปวัฒนธรรมของผู้อื่นมาแอบอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้า ของ

ข้อสุดท้าย ยกเลิกการบริหารลิขสิทธิ์ดิจิตัลอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ข้อกฎหมายที่รองรับการบริหารลิขสิทธิ์ดิจิตัลของระบบกฎหมาย ลิขสิทธิ์จำนวนมากมีผลในทางปฏิบัติคือการให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถกำหนด “เงื่อนไขการใช้” งานอันมีลิขสิทธิ์กับผู้บริโภคได้ดังใจปรารถนาและทำการ “ล็อค” ข้อมูลอิเล็กทรอนิกบางส่วนของสินค้าไว้ไม่ให้ผู้ใช้สามารถนำมันมาปรับ เปลี่ยนดังที่ตนต้องการได้ เช่น การห้ามการแปลงไฟล์อิเล็กทรอนิกจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่งเช่นการ “ริป” แผ่นซีดีที่ต้องแปลงไฟล์จาก WAV ไปเป็นไฟล์สกุลอื่นๆ ที่มีขนาดเล็กกว่าเช่น mp3 การจำกัดเวลาและจำนวนครั้งในการใช้ไฟล์หนึ่งๆ ไปจนถึงการล็อคไฟล์อิเล็กทรอนิกไม่ให้มีการทำสำเนาซึ่งส่วนใหญ่มักจะรวมไป ถึงการห้ามแบ็คอัพข้อมูลโดยอัตโนมัติด้วย ทางพรรคเห็นว่าแนวทางกฎหมายดังกล่าวมีความขัดแย้งกับการคุ้มครองสิทธิผู้ บริโภคในกรณีของสินค้าทั่วไปที่ถือว่าผู้บริโภคมีสิทธิที่จะทำเช่นไรก็ได้ กับสินค้าที่ตนซื้อหามาโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างเสรี และเห็นควรให้มีการยกเลิกเสีย ทั้งนี้การยกเลิกการบริหารลิขสิทธิ์ดิจิตัลก็ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคจะ สามารถนำไฟล์ดิจิตัลมาทำสำเนาขายแข่งกับเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ เพราะกิจกรรมดังกล่าวก็ยังมีความผิดในฐานการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการค้าอยู่ ซึ่งทางพรรคก็ยังเห็นว่าเป็นความผิดที่ควรจะคงไว้ในกฎหมาย แต่ต้องนิยามเงื่อนไขของกิจกรรม “เพื่อการค้า” ให้แคบและชัดเจนพอดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

จากข้อเสนอทั้งหมด จะเห็นได้ว่าทางพรรคมีความใส่ใจกับผลประโยชน์ของผู้สร้างสรรค์ทางศิลป วัฒนธรรมมาก อาจมากกว่าบรรดาผู้กล่าวอ้างว่าตนใส่ใจผลประโยชน์ของผู้สร้างสรรค์บางส่วน ด้วยซ้ำ ทางพรรคตระหนักดีว่างานสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจาก สุญญากาศ และผู้สร้างทางศิลปวัฒนธรรมเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นทั้งผู้บริโภคและ ผู้ใช้งานสร้างสรรค์ชิ้นอื่นๆ มาเป็นวัตถุดิบในการสร้างงานสร้างสรรค์ต่อยอดขึ้นไป พร้อมกันนั้นทางพรรคก็ไม่ได้มองว่าชีวิตของนักสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมจะสุข สบายขึ้น เพราะในภาพรวมชีวิตของนักสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สุขสบาย อะไรอยู่แล้ว ระบบการผลิตงานสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นใหม่ไม่ได้การันตีความสำเร็จหรือความ สุขสบายของนักสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม แต่มันจะสร้างโอกาสในการสร้างสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรมที่มากขึ้นผ่านการเข้าถึง ทรัพยากรที่จะใช้สร้างสรรค์งานและช่องทางการเผยแพร่ผลงานที่มากขึ้น ซึ่งหัวใจของระบบใหม่นี้ก็คือการเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงทางศิลปวัฒนธรรม เสมอ ไม่ใช่การใช้มาตรการทางกฎหมายและเศรษฐกิจการเมืองเพื่อแช่แข็งระบอบการผลิต ศิลปวัฒนธรรมให้เป็นดังเดิมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

(ที่มา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น