หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'จาตุรนต์' แนะไม่ควรจัดลงประชามติแก้ รธน. ตาม ม.165 ชี้สำเร็จยาก

'จาตุรนต์' แนะไม่ควรจัดลงประชามติแก้ รธน. ตาม ม.165 ชี้สำเร็จยาก

 


 


23 ธ.ค. 55 - นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้แสดงความเห็นกรณีประชามติและการแก้รัฐ ธรรมนูญ ลงในโปรแกรมทวิตเตอร์ของตนเอง https://twitter.com/chaturon โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กรณีประชามติและการแก้รัฐธรรมนูญ

เห็น พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะคุณอภิสิทธิ์ย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องคัดค้านการแก้มาตรา 309 เข้าใจว่าจะแกล้งทำเป็นไขสือไม่รู้ว่ารัฐสภากำลังแก้เฉพาะมาตรา 291  รัฐสภาหรือนายกรัฐมนตรี จึงไม่อยู่ในวิสัยที่จะมารับรองว่าจะไม่แก้มาตรา 309 เพราะต้องให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของสสร. ซึ่งสุดท้ายจะตัดสินโดยประชาชน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะยอมรับกระบวนการที่ยกอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินกัน หรือไม่

ส่วนเรื่องว่าควรยกเลิกหรือรักษามาตรา 309 ไว้หรือไม่นั้น มีการถกเถียงกันมามากแล้ว จุดสำคัญอยู่ที่จะรับรองการรัฐประหารว่าถูกต้องหรือไม่ อย่างไรจึงจะสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ไม่ควรเอาเรื่องตัวบุคคลมาเป็นเกณฑ์อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสนออยู่ ซึ่งกลายเป็นไม่มีหลัก  การแก้รัฐธรรมนูญอย่างไรจึงจะดี ต้องดูผลที่จะเกิดกับประเทศชาติเป็นส่วนรวม  ไม่ใช่ดูที่ว่าจะเป็นผลอย่างไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ

ส่วนประเด็นที่กำลัง เป็นที่สนใจและสำคัญมากก็คือเรื่องการจะทำประชามติก่อนการลงมติวาระสามหรือ ไม่ เรื่องนี้จะมีผลอย่างมากต่อวิกฤตประเทศ รัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องมีการลงประชามติก่อนที่จะมีการลง มติในวาระที่ 3ฉะนั้นจะลงมติเสียเลยก็ย่อมทำได้  แต่เข้าใจว่ามีความเป็นห่วงว่าถ้าลงมติไปแล้วก็อาจไปสะดุดข้างหน้าอีกเพราะ ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำไว้ว่าถ้าจะแก้ทั้งฉบับควรลงประชามติเสียก่อน  แต่พอจะให้มีการลงประชามติก็มีปัญหาต้องตีความกันมากพอสมควรว่าจะทำอย่างไร และจะมีผลอย่างไรกันแน่  เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้ต้องมีประชามติ

ข้อ ดีอีกอย่างของการลงประชามติคือ การแก้ปัญหาการเมือง เนื่องจากรัฐธรรมนูญนี้ผ่านการลงประชามติมาก่อนจะนำมาใช้ ถ้าจะแก้กันใหม่มากๆ การมีประชามติก็ดี  ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ค้างสภาอยู่ก็กำหนดให้ต้องมีการทำประชามติอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ทำในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าทำก่อนยกร่าง  แต่ถ้าจะลงประชามติกันถึง 2 รอบ คือ ทั้งก่อนและหลังการยกร่างโดยสสร.แล้วสังคมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองก็ สามารถทำได้เหมือนกัน

แต่ปัญหาสำหรับการลงประชามติเวลานี้คือ จะลงประชามติกันด้วยกติกาอย่างไร ถ้าลงประชามติอย่างที่พูดกันอยู่คือ การทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 165 จะมีปัญหาอย่างมาก เพราะมีการกำหนดให้ใช้เสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์กติกาตามมาตรา 165 นี้มีไว้สำหรับขอคำปรึกษาหรือหาข้อยุติในเรื่องต่างๆที่ไม่เกี่ยวกับการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ  เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ต้องมีการลงประชามติ

การ ลงประชามติตามมาตรา 165 เป็นการกำหนดเงื่อนไขให้สูงกว่า ยากกว่าการลงประชามติรับหรือไม้รับร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่มีขึ้นในปี 2550 อย่างมากการกำหนดให้ต้องมีเสียงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง  เท่ากับบอกว่าผู้ไม่ออกเสียงก็ถือเป็นเสียงค้านด้วย  ผู้ที่ค้านก็ไม่ต้องทำอะไร  นอกจากอยู่กับบ้านหรือรณรงค์ให้คนอยู่กับบ้าน ภาระก็ตกอยู่กับฝ่ายสนับสนุนที่ต้องหาคนมาให้ได้เกินครึ่งของผู้มีสิทธิ์

ปรกติ การจะให้ประชาชนตัดสินเรื่องอะไรควรจะวัดกันที่เสียงข้างมาก ผู้ที่ไม่มาออกเสียงย่อมต้องถือว่ายอมรับผลของการออกเสียง การลงประชามติตามมาตรา 165 จึงเป็นการเดินไปสู่ทางตัน คือ ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะปัญหาทางเทคนิคเกี่ยวกับกติกาว่าด้วยการลง ประชามติ  แล้วฝ่ายคัดค้านก็จะไปทึกทักเอาว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข รัฐธรรมนูญ ต่อไปไม่ว่าจะแก้ทั้งฉบับหรือรายมาตราก็จะเป็นเรื่องยากมาก

ผม จึงเห็นว่าไม่ควรจัดให้มีการลงประชามติตามมาตรา 165  เพราะจะเป็นการเดินตามเกมที่ฝ่ายปกป้องรัฐธรรมนูญได้วางหมากไว้ให้เดิน สำเร็จยากมาก  หากจะมีการลงประชามติควรต้องใช้กติกาเดียวกันกับการลงประชามติรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันเมื่อปี 50 คือกำหนดให้ใช้เสียงข้างมากเท่านั้นพอจึงจะถูก

สำหรับ ปัญหาที่ต้องตัดสินใจกันในขณะนี้ ผมจึงขอเสนอทางออกเป็น 2 ทางคือ 1. ลงมติวาระ 3 ไปเลยหรือ  2.ลงประชามติตามกติกาเดียวกันกับการลงประชามติในปี 2550
 

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/12/44357

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น