‘เหนือเมฆ’ ยังมีวัฒนธรรมการเซ็นเซอร์
โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์
@PravitR
@PravitR
ก่อนอื่นขอประณามผู้ใดก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการเซ็นเซอร์ตอนท้ายของละคร
เหนือเมฆทางช่อง 3 เพราะการเซ็นเซอร์ เป็นการดูถูกสติปัญญาประชาชน
ว่าแยกแยะถูกผิด จริงเท็จ ไม่ออก – ไม่แม้แต่ละครโทรทัศน์
ผู้บริหารไทยทีวีสีช่อง 3 ไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลการเซ็นเซอร์อย่างฉับพลันของละครเรื่องนี้ (ที่ถูกมองว่าสามารถตีความพาดพึงถึง ทักษิณ ชินวัตร ในทางลบได้) นอกจากการประกาศทางเฟซบุ๊กว่าตัดสินใจเซ็นเซอร์เพราะ ‘เห็นว่าเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ’
ผู้บริหารไทยทีวีสีช่อง 3 ไม่ได้พยายามอธิบายเหตุผลการเซ็นเซอร์อย่างฉับพลันของละครเรื่องนี้ (ที่ถูกมองว่าสามารถตีความพาดพึงถึง ทักษิณ ชินวัตร ในทางลบได้) นอกจากการประกาศทางเฟซบุ๊กว่าตัดสินใจเซ็นเซอร์เพราะ ‘เห็นว่าเนื้อหาบางช่วงบางตอนไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ’
ผู้ เขียนไม่ทราบว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเซ็นเซอร์อย่างแท้จริง และขอเรียกร้องให้ดาราเหนือเมฆ พนักงาน และนักข่าวช่อง 3 ที่พอมีข้อมูลพยานหลักฐาน มีความกล้าทางจริยธรรมที่จะออกมาเปิดเผยต่อสังคม หรือส่งข้อมูลเท็จจริงให้สาธารณะทราบ
ผู้เขียนจะไม่แปลกใจหากช่อง 3 จะตัดสินใจทำเองเพราะเกรงใจทักษิณ (เพราะในแง่หนึ่ง ผู้เขียนก็ไม่เคยเห็น SMS ท้ายจอช่อง 3 ที่มีข้อความเรียกร้องให้แก้ ม.112 เลย หากมีแต่ข้อความอวยเจ้า แถมมีคนที่รู้จักบอกว่าเคยส่ง แต่ไม่เห็นขึ้นจอ)
แต่หากมีคนใกล้ชิดทักษิณทำโดยยกหูโทรศัพท์ไปยังผู้บริหารเพื่อขอให้ เซ็นเซอร์ นั่นก็เป็นปัญหาต่อเสรีภาพในการแสดงออกและรับรู้ข้อมูลข่าวสารซึ่งรวมถึง ละครทีวี ของสังคม
และถ้าคนเหล่านี้คิดว่าจะเป็นผลดีต่อทักษิณ พวกเขาก็คงโง่บรมและคิดผิด เพราะเรื่องเหนือเมฆกลับกลายเป็นข่าวดังหน้าหนึ่งและในโลกไซเบอร์ แม้แต่ผู้เขียนเองซึ่งไม่เคยดูละครเรื่องนี้ ก็ยังต้องมานั่งเขียนบทความ
ไม่ว่าเบื้องหลังการเซ็นเซอร์จะเป็นอย่างไร รัฐบาลควรเรียกร้องสนับสนุนให้มีการออกอากาศฉายละครเรื่องนี้จนจบบริบูรณ์ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งรวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกที่อาจถูกตีความว่าไปวิพากษ์หรือเป็นทางลบ เกี่ยวกับทักษิณด้วย และต้องการให้มีการออกอากาศฉายละครเหนือเมฆจนจบ
ผู้เขียนขอเรียกร้องให้ประชาชนคนเสื้อแดงที่เชื่อมั่นในเสรีภาพการ แสดงออกและการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้รับชมละครที่อาจพาดพึงทักษิณ ออกมาแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ทุกรูปแบบ
เสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เป็นสิทธิพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย เสรีภาพและสิทธินี้ไม่ได้มีไว้เฉพาะเพื่อกลุ่มใดเพียงกลุ่มเดียวในสังคม
หากคุณเชื่อในเสรีภาพการแสดงออกอย่างแท้จริง คุณต้องยินดีที่จะปกป้องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของบรรดาผู้ที่ต้องการ วิพากษ์คุณ และ/หรือคนที่คุณรักนับถือเทิดทูนบูชา ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นกษัตริย์ ทักษิณ หรือผู้ใดก็ตามล
การที่ประชาชนยอมรับให้มีการเซ็นเซอร์รูปแบบหนึ่งได้ โดยมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ (ไม่ว่าเรื่อง ม.112 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือละครเหนือเมฆ หรือหนัง Shakespeare Must Die) สุดท้ายผลกระทบด้านลบก็จะตกแก่สังคมโดยรวม และบรรดาผู้ที่สนับสนุนการเซ็นเซอร์ก็จะได้รับผลกระทบจากการเซ็นเซอร์ด้วยใน ที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
คนที่รักเจ้าอย่างไม่รู้จักพอเพียงควรมองให้ทะลุถึงแก่นว่า แท้จริงแล้ว การเซ็นเซอร์ละครเหนือเมฆ ไม่ว่าจะมีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง มันก็มีรากตรรกะแบบเดียวกับการเซ็นเซอร์ข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับสถาบัน กษัตริย์ เพราะมันมีตรรกะพื้นฐานร่วมอยู่ตรงที่ว่ามีผู้มีอำนาจได้ตัดสินใจแทนประชาชน ไปก่อนแล้วว่า อะไรบ้างที่ประชาชนควรรับรู้และไม่ควรรับรู้
ในขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงที่คิดว่าตนสนับสนุนเสรีภาพการแสดงออกและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ควรตระหนักเช่นกันว่า คุณไม่สามารถปกป้องเสรีภาพการแสดงออกและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของ สังคมอย่างแท้จริงได้ หากคุณเลือกปกป้องเพียงสิทธิเสรีภาพของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ถ้าประชาชนปล่อยให้วัฒนธรรมการเซ็นเซอร์เป็นเรื่องปกติยอมรับได้ ไม่ว่ากรณีข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับเจ้าหรือกรณีละครเหนือเมฆ ป้ายหน้าของสังคมไทยก็คงจะใกล้เกาหลีเหนือยิ่งขึ้นทุกที
ปล. ดาราเหนือเมฆ สินจัย เปล่งพานิช ได้ โพสต์ในอินสตาแกรมในวันที่ 2 มกราคม 2556 ว่า ‘ฉันเชื่อและศรัทธาในความดี… อย่ากลัวที่จะเป็นคนดี อย่าอายที่จะทำดี’ –ผู้เขียนอ่านแล้วก็ขอเขียนว่า ‘ฉันเชื่อและศรัทธาในเสรีภาพการแสดงออก…อย่ากลัวที่จะยืนหยัดเพื่อเสรีภาพใน การแสดงออกและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารละคร อย่าอายที่จะปกป้องเสรีภาพการแสดงออกและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและ ละคร ของฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่เห็นต่างจากคุณ’
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น