หน้าเว็บ

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โพลล์ไทยอีนิวส์: เสื้อแดงควรตั้งพรรคการเมืองเองหรือไม่

โพลล์ไทยอีนิวส์: เสื้อแดงควรตั้งพรรคการเมืองเองหรือไม่ 



 
http://thaienews.blogspot.dk/2013/02/blog-post_7248.html

สำรวจจากท่านผู้อ่านไทยอีนิวส์ระหว่างวันที่ 27 ม.ค. - 2 ก.พ. 53 โดยมีจำนวนโหวตทั้งสิ้น 1,452 ครั้ง  

ถ้าไม่สร้างพรรคฝ่ายซ้ายในไทย การเมืองจะวนเวียนอยู่ในอ่างน้ำเน่าต่อไป

การ ต่อสู้ของมวลชน... ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้... การเสียเลือดเนื้อของประชาชน... การเลือกตั้ง... การปรองดองของชนชั้นปกครองบนซากศพวีรชน... ฆาตกรลอยนวล... อำนาจอำมาตย์ถูกปกป้อง... พรรคการเมืองทำลายความฝันของประชาชน:  นั้นคืออ่างน้ำเน่าของการเมืองไทยในรอบห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมา

ทุก วันนี้การจัดตั้งของทหาร การจัดตั้งของพรรคเพื่อไทย บวกกับการคุมมวลชนของ นปช.ให้คล้อยตามการปรองดองของเพื่อไทย ทำลายการต่อสู้ของเสื้อแดงที่ต้องการมากกว่านั้น สาเหตุหลักคือเราไม่มีพรรคฝ่ายซ้ายของเราเองที่จะชาวงชิงมวลชนจาก นปช. และเพื่อไทย เพราะคนก้าวหน้าในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดงหรือนักสหภาพแรงงาน ไม่สนใจและไม่เข้าใจความสำคัญของการสร้างพรรค

ในยุคหลังป่าแตก สมัยรัฐบาลแปรม อดีตนักต่อสู้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จะผิดหวังกับ พคท. และหันหลังให้การสร้างพรรค ส่วนหนึ่งกลายเป็น เอ็นจีโอ แล้วการเมืองก็ลื่นไหลไปสู่การจับมือกับพันธมิตรฟาสซิสต์เพราะไม่ให้ความ สำคัญกับการวิเคราะห์การเมืองและการต่อสู้กับอำนาจรัฐ

แต่ หลายปีผ่านไปแล้ว ข้ออ้างเรื่อง พคท. เพื่อปฏิเสธการสร้างพรรคและเน้นเครือข่ายหลวมๆ ตอนนี้ฟังไม่ขึ้น มันกลายเป็นเรื่องของ “ความเคยชินในการทำงาน” หรือ “การหวงความเป็นใหญ่หรือความอิสระของตนเองในกลุ่มเล็กๆ” มากกว่าอะไรอื่น และในขณะที่นักเคลื่อนไหวพูดในนามธรรมว่า “ควรสร้างพรรค” แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อให้เกิดขึ้น ผลคือการหักหลังขบวนการเสื้อแดงโดยเพื่อไทย ทักษิณ และ นปช. และในเมื่อขบวนการเสื้อแดงเคยเป็นขบวนการมวลชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติ ศาสตร์ไทย เราต้องสรุปว่าเป็นการเสียโอกาสมหาศาล และเป็นการละเลยภาระกิจโดยคนก้าวหน้า

ทำไมต้องสร้างพรรคในรูปแบบที่เลนินเคยสร้าง?

พรรค สังคมนิยมในรูปแบบของ เลนิน คือพรรคที่อาศัยการจัดตั้งกรรมาชีพ ซึ่งเป็นชนชั้นที่มีอำนาจซ่อนเร้นทางเศรษฐกิจ บวกกับคนหนุ่มสาว และปัญญาชนก้าวหน้า

หลายคนเข้าใจผิดว่าแนวคิดแบบ เลนิน เป็นสิ่งเดียวกันกับแนวคิดแบบ สตาลิน-เหมา ที่ พคท. เคยใช้ แต่ในความเป็นจริงแนวคิดแบบ เลนิน จะเน้นสิทธิเสรีภาพ การเปิดกว้าง และการพัฒนากรรมาชีพและคนอื่นให้นำตนเองจากล่างสู่บนในระดับสากลเป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดมาร์คซิสต์เดิม ในขณะที่แนว สตาลิน เน้นเผด็จการจากบนลงล่างและการยอมจำนนต่อความสามัคคีระหว่างชนชั้นเพื่อ พัฒนาความเป็นชาติ ตัวอย่างที่ดีที่สุดของแนวสตาลินในไทยในยุคปัจจุบัน คือการนำของอ.ธิดาและแกนนำอื่นๆ ของนปช.

สำหรับนักมาร์คซิสต์อย่าง เลนิน รูปแบบการสร้างพรรคมันมาจากลักษณะการต่อสู้ทางชนชั้นของกรรมาชีพในโลกจริง ปัญหาหลักคือการต่อสู้ของกรรมาชีพจะมีลักษณะต่างระดับและหลากหลายเสมอ เช่นจะมีบางกลุ่มที่ออกมาสู้อย่างดุเดือดเพื่อล้มระบบ ในขณะที่กลุ่มอื่นออกมาสู้แค่เพื่อเรื่องปากท้องเท่านั้น หรือบางกลุ่มอาจไม่สู้เลย และในมิติเวลาที่ต่างกัน กลุ่มที่กล้าสู้หรือก้าวหน้าที่สุดในยุคหนึ่งอาจจะเป็นกลุ่มที่ล้าหลังในยุค ต่อไป ดังนั้นปัญหาของชาวมาร์คซิสต์คือ จะทำอย่างไรเพื่อให้มีการรักษาประสบการณ์ความรู้ในการต่อสู้ของกรรมาชีพส่วน ที่ก้าวหน้าที่สุดเพื่อถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป

เองเกิลส์ เคยยกตัวอย่างทหารในสนามรบว่า ภายใต้การกดดันของการต่อสู้ทหารบางหน่วยจะค้นพบวิธีการต่อสู้ที่ก้าวหน้าที่ สุด และบทบาทสำคัญของผู้บังคับบัญชาที่ดีคือการนำบทเรียนที่ก้าวหน้าอันนั้นไป เผยแพร่กับกองทหารทั้งกองทัพ นี่คือที่มาของแนวคิด "กองหน้า" ในการสร้างพรรคของ เลนิน เพราะหลักการสำคัญคือพรรคต้องเป็นตัวแทนของส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดของ กรรมาชีพ ไม่ใช่ตัวแทนของกรรมาชีพทั้งชนชั้นที่มีจิตสำนึกต่างระดับกัน และพรรคต้องแยกตัวออกจากความคิดล้าหลังของสังคม เพื่ออัดฉีดความคิดก้าวหน้าที่สุดกลับเข้าไปในขบวนการกรรมาชีพ ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็จะไม่เกิดการพัฒนาการต่อสู้และจิตสำนึกเลย

สรุปแล้วพรรคสังคมนิยมกรรมาชีพมีหน้าที่สร้างผู้ปฏิบัติการจากคนที่เข้าใจ ประเด็นการเมืองทางชนชั้น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติการขยายความคิดนี้ไปสู่คนส่วนใหญ่ที่มีความคิดกลางๆ ระหว่างความก้าวหน้ากับความล้าหลัง หรือระหว่างความเป็นซ้ายกับความเป็นขวา พรรคไม่ได้ตั้งเป้าหมายหลักในการทำงานกับคนที่ล้าหลังที่สุด ถูกกดขี่มากที่สุด หรือเข้าใจการเมืองน้อยที่สุดเพราะคนกลุ่มนี้ยังไม่พร้อมจะเปลี่ยนความคิด ง่ายๆ นั้นคือสาเหตุที่พรรคฝ่ายซ้ายควรทำงานกับคนเสื้อแดงก่อนที่ขบวนการนี้จะสูญ หายไปภายใต้นโยบายของ นปช. และเพื่อไทย 

แต่ถึงกระนั้น ถ้าจะมีการเปลี่ยนสังคมอย่างถอนรากถอนโคน ซึ่งจะนำไปสู่เสรีภาพแท้ได้ การเปลี่ยนสังคมดังกล่าวต้องเป็นการกระทำของมวลชนส่วนใหญ่เอง จากล่างสู่บน ไม่ใช่การกระทำของกลุ่มเล็กๆ หรือ "กองหน้า"


ไม่เหมือนพรรคนายทุน

พรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพไม่เหมือนพรรคแบบนายทุนที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ในสามแง่คือ 

ในแง่ที่หนึ่งพรรคกรรมาชีพต้องยึดถือผลประโยชน์ชนชั้นกรรมาชีพและคนจนเป็น หลัก ไม่ว่าจะเป็นกรรมาชีพภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม หรือพนักงานปกคอขาว และไม่ว่าจะเป็นคนจนที่เป็นชาวนา ลูกจ้างภาคเกษตร ชนกลุ่มน้อย หรือคนจนในเมือง พรรคต้องเป็นปากเสียงของผู้ถูกกดขี่ทุกคนโดยไม่คำนึงถึงเพศ เชื้อชาติ ศาสนา และวิถีชีวิต พรรคต้องไม่เสนอให้มีการสร้างแนวร่วมระหว่างกรรมาชีพและคนจนกับศัตรูของเรา เช่นนายทุนในพรรคเพื่อไทย หรือคนอย่างทักษิณ และทหารอำมาตย์เป็นอันขาด เราปฏิเสธการทำงานอย่างที่ พคท. เคยทำที่มัวแต่สามัคคีชนชั้นตลอดเวลาจนกรรมาชีพและคนจนต้องกลายเป็นเหยื่อ ของชนชั้นปกครอง และที่สำคัญเราต้องไม่หลงคล้อยตามกระแส “เพื่อชาติ” ซึ่งในรูปธรรมแปลว่า “เพื่อนายทุนและการรักษาระบบเดิม” ดัง นั้นพรรคของกรรมาชีพต้องเรียกร้องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงกว่าปัจจุบัน หรือการเก็บภาษีจากคนรวยเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการเป็นต้น ในขณะเดียวกันพรรคจะต้องปลุกระดมให้คนลุกขึ้นมายกเลิกระบบทุนนิยมในระยะยาว

ในแง่ที่สองพรรคจะต้องมีประชาธิปไตยภายใน ไม่ใช่เป็นพรรคของ “ผู้ใหญ่” คน ใดคนหนึ่ง ดังนั้นต้องมีโครงสร้างและระเบียบที่ชัดเจนเพื่อให้สมาชิกธรรมดาเป็นผู้ควบ คุมนโยบาย ผู้นำ และผู้แทนของพรรคตลอดเวลา ตรงนี้นอกจากจะต่างกับพรรคนายทุนแล้วจะต่างกับพรรคเผด็จการ สตาลิน-เหมา แบบ พคท. อีกด้วย เพราะเราต้องปฏิเสธการสั่งจากบนลงล่าง และเราควรเข้าใจอีกด้วยว่าขั้นตอนของการตั้งพรรคไม่เกี่ยวอะไรเลยกับ “การไปเชิญผู้มีชื่อเสียงคนโน้นคนนี้มาเป็นหัวหน้า”

ในแง่สุดท้ายพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพต้องอาศัยเงินทุนที่เก็บจากสมาชิกใน อัตราก้าวหน้าเป็นหลัก คือสมาชิกที่มีเงินเดือนสูงจ่ายมากและคนที่มีรายได้น้อยจ่ายน้อย แต่ทุกคนต้องจ่ายค่าสมาชิกเพื่อให้พรรคเป็นพรรคแท้ของกรรมาชีพและคนจน ไม่ใช่ไปพึ่งเงินทุนจากที่อื่นและตกเป็นเครื่องมือของคนอื่น และถึงแม้ว่าพรรคจะมีทุนน้อย แต่สิ่งที่ทำให้ได้เปรียบพรรคนายทุนทุกพรรคคือการเป็นพรรคของมวลชนจริง การดึงคนมาสนับสนุนพรรคจึงทำภายใต้นโยบายที่ชัดเจน และผู้สนับสนุนพรรคจะไม่เข้ามาร่วมภายใต้นโยบายของพรรคเท่านั้น แต่จะได้รับการส่งเสริมให้นำตนเอง และมีส่วนร่วมในการเสนอนโยบายด้วยสิทธิเท่าเทียมกัน


เน้นการต่อสู้นอกรัฐสภาเพื่อเปลี่ยนสังคมอย่างถอนรากถอนโคน

พรรคสังคมนิยมกรรมาชีพไม่ใช่พรรคประเภทบนลงล่าง “คุณเลือกเราเป็น ส.ส. แล้วเราจะทำให้คุณทุกอย่าง” พรรค ต้องไม่ตั้งเป้าหลักที่การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา เพราะรัฐสภาไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจแท้ในระบบประชาธิปไตยครึ่งใบของนายทุน ทั้งนี้เนื่องจากอำนาจแท้ของ "เผด็จการเงียบของนายทุน" ในระบบประชาธิปไตยทุนนิยมอยู่ที่การควบคุมการผลิตมูลค่าทั้งปวงในสังคม ดังนั้นนักมาร์คซิสต์มองว่า รัฐ รัฐธรรมนูญ รัฐสภา และกฏหมายต่างๆ เป็นองค์ประกอบของเครื่องมือปกครองทางชนชั้นของนายทุน ซึ่งหมายความว่าเราจะไม่หวังว่ารัฐสภาเป็นเป้าหมายหลักในการต่อสู้ ในระยะยาวเราต้องปฏิวัติเพื่อล้มโครงสร้างของนายทุนและสร้างโครงสร้างการ ปกครองของกรรมาชีพแทน เช่นระบบสภาคนงานและเกษตรกรคนจนเป็นต้น

การจดทะเบียนพรรคไม่สำคัญ อย่างไรก็ตามการเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบปัจจุบันอาจเป็นโอกาสดีสำหรับการโฆษนาแนวคิดในอนาคต ดังนั้นเราไม่ควรปฏิเสธการร่วมในการเลือกตั้งตลอดไป เมื่อพรรคไม่เน้นการเลือกตั้งในรัฐสภานายทุนเป็นหลัก พรรคต้องทำอะไรแทน? พรรค จะต้องเป็นแหล่งรวมของประสบการณ์และทฤษฎีการต่อสู้ แหล่งรวมของนักเคลื่อนไหวไฟแรง และเป็นเครื่องมือในการประสานงานและปลุกระดมการต่อสู้ในหมู่กรรมาชีพและคนจน เลนิน เคยเสนอว่าพรรคต้องเป็นปากเสียงของผู้ที่ถูกกดขี่ทั้งปวงในสังคม

พรรคที่เน้นการทำงานในกรอบรัฐสภาเป็นหลัก หรือพรรคที่เรียกกันว่า "พรรคปฏิรูป" ต่างๆ เช่นพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยในยุโรปหรือญี่ปุ่น พรรคแรงงานในอังกฤษ หรือพรรคที่ถูกสร้างจากขบวนการสหภาพแรงงานโดยทั่วไป ถึงแม้ว่าอาจเริ่มต้นมองว่าควรทำงานทั้งภายในและภายนอกรัฐสภา แต่ในไม่ช้าแรงดึงดูดจากวิธีการแบบรัฐสภาจะพาพรรคไปทำงานในสภาเท่านั้น เพราะแทนที่จะค่อยๆ ขยายฐานการสนับสนุนแท้โดยไม่หวังชนะการเลือกตั้งในระยะสั้น ทุกอย่างที่พรรคทำจะมีเป้าหมายหลักในการชนะการเลือกตั้งรอบตอบไป ซึ่งมีผลทำให้ผู้นำเน้นกลไกการหาเสียงและการประนีประนอมทางอุดมารณ์กับ นักการเมืองพรรคอื่นเสมอ


ต้องอาศัยพลังมวลชน ไม่ใช่บารมีผู้นำ

นัก ปฏิวัติสังคมนิยมชาวรัสเซียสองเคยคนเสนอบทบาทสำคัญของพรรคไว้ดังนี้ ลีออน ตรอทสกี เสนอว่าในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่สังคมนิยมต้องอาศัยพลังของมวลชนกรรมาชีพ โดยที่สมาชิกพรรคทำการเปลี่ยนแปลงแทนมวลชนกรรมาชีพไม่ได้ แต่พลังกรรมาชีพที่ไร้เป้าหมายทางการเมืองที่ชัดเจนจะเสมือนพลังไอน้ำที่ไม่ มีลูกสูบ มันจะสำแดงพลังแล้วสูญสลายไปกับตา ดังนั้นต้องมีทั้งพรรคและพลังมวลชน 

เลนิน อธิบายว่าสมาชิกพรรคไม่ควรตั้งตัวขึ้นมาเป็นศาสดาองค์ใหญ่ที่สอนกรรมาชีพ เพราะพรรคต้องเรียนรู้จากการต่อสู้ของกรรมาชีพพื้นฐานตลอด ทั้งในยุคนี้และยุคอดีต ดังนั้นพรรคต้องเป็นคลังรวบรวมประสบการณ์การต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลก เพื่อนำเสนอประสบการณ์ดังกล่าวกลับเข้าไปสู่ชนชั้นกรรมาชีพในขณะที่กำลัง ต่อสู้อยู่

อันโตนีโอ กรัมชี่ นักปฏิวัติสังคมนิยมชาวอิตาลี่เคยเตือนว่าพรรคไม่สามารถ “ป้อนความรู้” ใส่ สมองกรรมาชีพเหมือนพี่เลี้ยงป้อนอาหารให้เด็ก แต่พรรคต้องเสนอประสบการณ์จากอดีตทั่วโลกกับคนที่กำลังเปิดกว้างเพื่อแสวงหา ทางออกเนื่องจากเขาอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้ ดังนั้นสมาชิกพรรคต้องร่วมในการต่อสู้พื้นฐานของกรรมาชีพเพื่อเสนอความคิด และแนวทางในการต่อสู้ที่ท้าทายความคิดกระแสหลักของทุนนิยมเสมอ ไม่ใช่นั่งอยู่แต่ในห้องประชุม

อีกประเด็นที่สำคัญยิ่ง คือการไว้ใจและอาศัยพลังและความสร้างสรรค์ของคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะนักศึกษา พรรคควรจะเปิดกว้างให้คนหนุ่มสาวมีบทบาทสำคัญในการนำพรรค ไม่ใช่สร้างองค์กรที่มีระบบอาวุโส


หนังสือพิมพ์คือนั่งร้านในการสร้างพรรค

วิธี หนึ่งที่สำคัญในการสื่อแนวคิดเพื่อสร้างพรรคคือการใช้หนังสือพิมพ์และสื่อ อื่นๆ เช่นเวปไซท์ หรือ เฟสบุ๊ก เลนิน มองว่าหนังสือพิมพ์เป็น “นั่งร้าน” ใน การสร้างพรรค คำพูดนี้หมายความว่าในประการแรกหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่นๆ ของพรรคผลิตออกมาเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและแหล่งทฤษฏีให้กับสมาชิกพรรคเอง อาจมองได้ว่าเป็นอาวุธทางปัญญาในการขยายงานของพรรค นอกจากนี้หนังสือพิมพ์และสื่ออื่นๆ ของพรรคเป็นคำประกาศจุดยืนต่อสาธารณะอย่างชัดเจน การที่สมาชิกต้องขายหนังสือพิมพ์และโฆษณาสื่ออีเลกทรอนิคให้คนภายนอกพรรค เป็นวิธีการในการสร้างความสามัคคีทางความคิดภายในพรรค เพราะสมาชิกต้องถกเถียงเพื่อปกป้องแนวคิดของพรรคเสมอ ดังนั้นสมาชิกต้องอ่านสื่อของพรรคและขายหนังสือพิมพ์ นอกจากนี้การขายหนังสือพิมพ์หรือหนังสืออื่นๆ แทนการแจกฟรี เป็นวิธีการในการพึ่งตนเองทางเงินทุนและเป็นวิธีการทดสอบว่าคนภายนอกสนใจแนว คิดของพรรคมากน้อยแค่ไหน


ความสำคัญของการประชุมเป็นระบบ

หลาย คนสงสัยว่าทำไมสมาชิกพรรคต้องประชุมทุกสัปดาห์อย่างเป็นระบบ บางคนมองว่าเป็นการเสียเวลาและเป็นการมัวแต่นั่งคุยกันโดยไม่ออกไปต่อสู้ใน โลกจริง แต่คำตอบคือ 

(1) การประชุมเป็นประจำ และเป็นระบบ เป็นวิธีสำคัญในการรักษารูปแบบขององค์กร การประชุมเป็นโอกาสที่จะแลกเปลี่ยน ฝึกฝนการพูด วิเคราะห์สถานการณ์ทั่วโลก และพัฒนาความคิดและความสามารถทางด้านทฤษฎีของสมาชิก ในขณะที่การอ่านหนังสือคนเดียวไม่มีวันให้ประโยชน์เพียงพอ 

(2) การประชุมเป็นประจำเป็นวิธีเดียวที่จะประสานการต่อสู้ประจำวันของสมาชิก เพื่อนำประสบการณ์เข้ามาในพรรคและเพื่อพัฒนาการต่อสู้ให้มีประสิทธิภาพมาก ขึ้น

(3) การประชุมเป็นประจำเป็นวิธีเดียวที่สมาชิกสามารถควบคุมนโยบายและผู้นำของพรรคได้


สื่อ อีเลกทรอนิคสมัยใหม่อย่าง เฟสบุ๊ก อีเมล์ หรือทวิตเตอร์ อาจช่วยในการจัดตั้ง โทรศัพท์มือถือก็เช่นกัน  แต่ถ้าเราไม่มีการประชุมและการปฏิบัติอย่างเป็นประจำของสมาชิกพรรค เราจะสร้างพรรคไม่ได้

การสร้างพรรคเป็นงานใหญ่ เพราะการเปลี่ยนระบบอย่างถอนรากถอนโคนเป็นงานใหญ่ คนเสื้อแดงที่เสียเลือดเนื้อที่ราชประสงค์คงเข้าใจตรงนี้ดี ดังนั้นสมาชิกพรรคต้องพร้อมที่จะให้ความสำคัญกับการทำงานอย่างเป็นระบบด้วย วินัยของตนเอง ไม่ใช่มาทำอะไรเล่นๆ ถ้าใครไม่พร้อมจะทำงานแบบนี้ก็แปลว่าไม่จริงใจในการเปลี่ยนสังคม และอยากจะเป็นเพียง “ผู้สนใจการเมือง” เท่านั้น ซึ่งต่างจาก “ผู้ที่จะเปลี่ยนสังคม”

(ที่มา)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น