หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

ซีรีส์ทบทวน 15 ปีองค์กรอิสระ2 ศราวุฒิ ประทุมราช: กสม. ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิทางการเมือง

ซีรีส์ทบทวน 15 ปีองค์กรอิสระ2 ศราวุฒิ ประทุมราช: กสม. ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิทางการเมือง

 

ศราวุฒิ ประทุมราช  
ผู้อำนวยการสถาบันหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน และอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กสม.


นับแต่มีการต่อต้านรัฐบาลทักษิณเรื่อยมาจนถึงการรัฐประหาร กรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยถูกตั้งคำถามไม่น้อย ถึงบทบาทหน้าที่ในการปกป้องสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ประชาไทสัมภาษณ์ ศราวุฒิ ประทุมราช ซึ่งวิพากษ์การทำงานของกรรมการสิทธิรวมถึงที่มาซึ่งเขาเห็นว่าไม่เป็น ประชาธิปไตยและต้องแก้ไข


กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก่อตั้งขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นผลจากการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนส่วนหนึ่ง ในช่วงนั้นศราวุฒิ ประทุมราช ก็อยู่ในเครือข่ายที่ร่วมผลักดันโครงสร้างกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขึ้น และยังได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมการฯ ทั้งชุดแรกและชุดปัจจุบัน ในฐานะอนุกรรมการด้านสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง

แน่นอนว่า ในห้วงเวลานับแต่มีการต่อต้านรัฐบาลทักษิณเรื่อยมาจนถึงการรัฐประหาร กรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยนั้นถูกตั้งคำถามไม่น้อย ถึงบทบาทหน้าที่ในการปกป้องสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในฐานะที่เป็น ส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน

ที่ผ่านมา ประชาไทได้สัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการสิทธิทั้งชุดแรก คือ จรัล ดิษฐาอภิชัย [1] และกรรมการสิทธิชุดปัจจุบันคือ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ [2] เพื่อทบทวนประสบการณ์ และเงื่อนไขข้อจำกัดของการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการสิทธิมาแล้ว

เพื่อสะท้อนเสียงจากคนทำงานภาคประชาสังคม ที่ได้รู้เห็นและมีส่วนร่วมในการทำงานกับกรรมการสิทธิ ครั้งนี้ประชาไทคุยกับศราวุฒิในฐานะคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น จนถึงวันนี้ เขาได้กรรมการสิทธิที่เขาคาดหวังหรือไม่ และมองการทำงานของกรรมการสิทธิอย่างไร

ประชาไท: ทำไมตอนนั้น (รณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญ 2540) จึงมีแนวคิดเรื่องการก่อตั้งกรรมการสิทธิ 

ศราวุฒิ: ช่วงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมืองไทยขาดองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถ้าเกิดการละเมิดสิทธิโดยรัฐหรือโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระบวนการที่ใช้อยู่ตามปกติก็มีสองส่วนคือ กลไกของฝ่ายบริหารเอง เช่น ถ้าตำรวจละเมิดก็ไปร้องเรียนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออย่างมากก็ไปฟ้องศาล แต่ถามว่ากระบวนการพวกนี้ใช้เวลาไหม- ใช้เวลานาน

อีกกลไกหนึ่งก็คือไปที่สภาผู้แทน กรรมาธิการสามัญ ซึ่งก็ไม่มีอำนาจอะไร ทำได้เพียงเรียกคนนั้นคนนี้มาชี้แจง แล้วก็ทำรายงานต่อสภา สภาก็ทำการตรวจสอบกับรัฐบาลในการอภิปรายหรือในการตั้งกระทู้ถาม กระบวนการพวกนี้ไม่ได้ให้คุณให้โทษได้โดยตรง อาจจะทำให้เสียหน้าแต่ก็ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ แล้วก็ถ้าจะฟ้องศาลคุณก็ต้องมีทุนทรัพย์พอสมควร ต้องมีทนายความ จะไปพึ่งสภาทนายความก็ได้ แต่ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำคดีได้ยาก ก็เลยมีการศึกษาดูว่าในต่างประเทศเขามีกลไกอะไรที่พอจะเป็นหน่วยงานที่อิสระ ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหาร ไม่ขึ้นกับศาล ทำหน้าที่กึ่งตุลาการ ก็ได้เจอหลักการเกี่ยวกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เกิดขึ้นจากหลักการ ปารีส ระบุเอาไว้ว่ากลไกหรือองค์กรสถาบันสิทธิมนุษยชนระดับชาติที่รัฐต้องสนับสนุน ให้มีขึ้นมา และทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเอกชนด้วย


ก็มีการผลักดันให้มีกรรมการสิทธิฯ บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และในรัฐธรรมนูญก็เขียนว่าการจะตั้งหน่วยงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ก็มีการร่างพ.ร.บ. กรรมการสิทธิฯ จนกระทั่งมีคณะกรรมการสิทธิฯ เมื่อปี 2544 เป็นกรรมการสิทธิฯ ชุดแรก

ตามหลักการแล้ว กรรมการสิทธิมีอำนาจหน้าที่อยู่สองสาม
ประการ หน้าที่หลักคือตรวจสอบ แต่ประเด็นของการตรวจสอบไม่ใช่หน้าที่ที่จะลงโทษหรือเอาใครเข้าคุก เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะดำเนินการทางอาญา หรือทางแพ่งอะไรก็ตาม แต่เป็นการไปแนะนำให้หน่วยงานนั้นปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับหลักสิทธิ มนุษยชน ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ต้องให้มีการชดเชย สร้างหลักประกันให้ไม่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีก ทำรายงานให้รัฐบาลสั่งการเพราะรัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่างๆ เช่น ถ้ากระทรวงผิด นายกฯ มีคำสั่ง แต่ถ้านายกฯ ไม่สั่ง ก็ต้องฟ้องสภาเพื่อให้ประชาชนจับตาดูว่าคุณจะทำแบบนี้อีกไม่ได้

ประการที่สองคือ การให้ความรู้ให้การศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชนต่อสาธารณะ ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกันในเรื่องของ สิทธิมนุษยชนว่าจะอยู่กันอย่างไรที่จะไม่ไปละเมิด ไม่ไปเบียดเบียน อยู่บนหลักของความเสมอภาค เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ประการที่สาม ที่เป็นเรื่องสำคัญคือบทบาทของกรรมการสิทธิที่จะต้องประสานงานกับ องค์การ หน่วยงาน ที่สอดคล้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน

ตัวบุคคลที่เป็นกรรมการสิทธิต้องเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน

ประชาไท: แล้วพอมีกรรมการสิทธิฯ ชุดแรก คุณมีข้อสังเกตอย่างไร

ศราวุฒิ: เราก็ได้คนที่หลากหลาย เนื่องจากว่ามี 11 คนในชุดแรก กรรมการสิทธิฯ ชุดแรกอาจจะดีหน่อยในแง่ที่ได้คนที่มีพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนมาก่อนแต่ ก็จะถูกจำกัดลงด้วยความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เป็นความเข้าใจเฉพาะด้าน ที่ตัวเองถนัด เช่น มาจากองค์กรทำงานด้านสตรี เด็ก มีทนายความ นักวิชาการ ความหลากหลายเยอะ ทำให้การประสานงานขัดข้องกันอยู่ เนื่องจากทั้ง 11 คนไม่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน ต่างก็เป็นอิสระจากกัน

ประชาไท: กลายเป็นว่ามีความรู้เฉพาะด้าน แต่ไม่สามารถมองภาพรวมร่วมกัน

ศราวุฒิ: ไม่สามารถมองภาพรวมและทำงานไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งเราก็ไม่ได้คาดหวังว่ากรรมการทุกคนจะต้องมีภาพรวม หรือทำงานโดยรวมได้ แต่ว่าจะต้องไม่ยึดติดอยู่กับประเด็นของตัวเอง แต่เนื่องจากที่มาของกรรมการสิทธิฯ ในชุดแรก ภาคประชาชนไปผลักดันไว้เยอะ ทำให้การนำเสนอตัวบุคคลที่จะให้วุฒิสภาเป็นคนคัดเลือกก็ผลักดันเฉพาะเครือ ข่ายที่ตัวเองทำงานอยู่ด้วย โดยเราก็ไม่ได้มอง

คือเราเข้าใจว่าถ้าคนเหล่านี้เข้าไปจะทำให้เกิดพัฒนาการดีขึ้น ไม่มากก็น้อย ก็เลยเสนอเป็นด้านๆ ไป แต่ไม่สามารถผลักดันให้กลไกสิทธิมนุษยชนมีความเปลี่ยนแปลงในระดับที่มีนัยยะ สำคัญหรือจับต้องได้
แต่ก็ต้องถือว่าเป็นองค์กรที่เป็นโมเดลนะ เพราะว่าที่มาของกรรมการสิทธิฯ เมืองไทยไม่ได้ มาจากการคัดเลือกของรัฐ แต่มาจากคณะกรรมการสรรหา ก็ถือว่าเป็นประโยชน์

แต่พอปี 2550 กรรมการสรรหามาจากภาคศาล มาจากองค์กรอิสระอื่นๆ เพราะฉะนั้นความจำกัดของผู้พิพากษา การดีไซน์ให้ผู้พิพากษาเป็นคนคัดเลือกองค์กรอิสระ ผมถือว่าเป็นความล้มเหลวของสังคมไทยนะ เพราะผู้พิพากษาไม่ได้รู้ทุกเรื่อง และอาจจะเป็นการเลือกข้างทางการเมือง เพราะที่มาของรัฐธรรมนูญ 2550 ก็อย่างที่ทราบกันว่าเกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและต้องการ กำจัดระบอบทักษิณหรืออะไรก็ตามแต่จะเรียก ก็คือต้องการที่จะเอาคนที่ไม่สนับสนุนส่งเสริม หรืออยูในแวดวงของทักษิณเข้ามาทำงาน

เพราะฉะนั้นกรรมการสิทธิฯ ชุดใหม่นี่ก็เป็นข้าราชการเก่าทั้งหมด หรือเป็นคนที่ใกล้ชิดกับแวดวงราชการเพราะฉะนั้นก็จะไม่เข้าใจองค์ประกอบของ การทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม หรือประชาชน องค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนก็อาจจะมีไม่มากนัก มีอยู่บางส่วนแต่จะไม่กว้างขวางรอบด้านเหมือนกับกรรมการชุดแรก

แต่เนื่องจากสถาบันนี้มันต้องดำรงอยู่ และมีอยู่แล้วตามรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นที่พึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่ากรรมการสิทธิฯ รุ่นต่อๆ ไป จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง เริ่มจากที่มา ที่ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญก่อน

ประชาไท: นี่คือการเสนอว่าถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญต้องแก้ส่วนของกรรมการสิทธิด้วย

ศราวุฒิ: ต้องแก้ไขในส่วนที่เป็นกรรมการสรรหาในทุกองค์กรอิสระ เพราะมาจากที่เดียวกันหมดเลย 7 คน ตัวแทนศาลฎีกา ตัวแทนศาลปกครอง ตัวแทนศาลรัฐธรรมนูญ  ซึ่งผมคิดว่าไม่เป็นประชาธิปไตย และผมก็คิดว่าศาลเองก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนักการเมืองในลักษณะก้าว ก่ายฝ่ายนิติบัญญัติแบบนี้ คือเรื่องนี้มันควรจะเป็นเรื่องของสภาที่จะคัดเลือกคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ ในการดูภาพรวมของสิทธิมนุษยชน

ประชาไท: ส่วนที่เป็นสำนักงานกรรมการสิทธิ น่าจะมีความต่อเนื่องกว่าตัวกรรมการ ส่วนนี้คุณมองเห็นพัฒนาการไหม

ศราวุฒิ: ส่วนนี้เป็นปัญหาอยู่เหมือนกัน เนื่องจากว่าการออกแบบให้องค์กรนี้ไปขึ้นกับรัฐสภาในยุคแรก สำนักงานเป็นอิสระแต่ขึ้นกับเลขาธิการรัฐสภา ก็เลยทำให้เจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิเป็นข้าราชการในสังกัดรัฐสภา ซึ่งการเป็นข้าราชการรัฐสภาเป็นข้าราชการที่ทำงานเกื้อหนุนฝ่ายนิติบัญญัติ มีกองการประชุม มีกองการเจ้าหน้าที่ มีบุคลาการจดรายงานการประชุมที่เก่งมากแล้วก็ทำงานสนับสนุนกรรมาธิการชุด ต่างๆ แต่ทีนี้พอมาเป็นเจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ ก็เป็นเพียงแต่ลอกกรอบที่มาของข้าราชการว่าแยกจาก ก.พ. ให้ขึ้นกับ ก.พ.ร. คือข้าราชการรัฐสภา

ในส่วนของการบังคับบัญชาตามกฎหมายให้เลขาธิการสำนักงานกรรมการสิทธิฯ ขึ้นกับประธานกรรมการสิทธิ ฉะนั้นกรรมการจะมี 11 คนหรือมี 7 คนก็ตามแต่ แต่ประธานกรรมการสิทธิฯ เท่านั้นที่จะสั่งเลขาธิการได้ โดยสายงานที่ติดยึดมาจาก ก.พ.ร. คือเลขาธิการขึ้นกับประธาน เมื่อกฎหมายเขียนเช่นนั้นว่าเลขาธิการขึ้นต่อประธาน ก็ขึ้นกับประธานคนเดียว ใครจะมาสั่งผมไม่ได้นอกจากประธานสั่ง มันก็เลยเกิดความอิหลักอิเหลื่อว่าจริงๆ แล้วเลขาธิการควรจะทำงานสนับสนุนกรรมการ เหมือนกับที่ข้าราชการรัฐสภาทำงานสนับสนุนการทำงานของกรรมาธิการหรือเปล่า กรณีของรัฐภาเขาไม่มีปัญหาในการทำงานสนับสนุน ในการจดการประชุมก็มีประสิทธิภาพมาก

แต่พอมาถึงกรรมการสิทธิฯ เนื่องจากเป็นองค์กรใหม่รับคนมาจากภาครัฐก็จะมีความหลากหลาย การทำงานก็ไม่เคยทำร่วมกันมาก่อนต้องมาสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ แต่ก็ติดกับวัฒนธรรมเดิมขององค์กรตัวเอง ปัดแข้งปัดขากัน พวกใครพวกมัน ซึ่งผมว่านี่เป็นข้ออ่อนนะ คือข้าราชการเข้ามาปุ๊บก็ได้เลื่อนหนึ่งขั้นจากตำแหน่งตัวเอง และก็ก้าวหน้าตามแท่งที่กรรมการสิทธิฯ จัดแบ่งระเบียบภายในของเขาไว้ ทีนี้ตัวข้าราชการเองควรจะมีการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่ด้วย แต่กรรมการเองอาจจะไม่มีใครที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการบริหารงาน ไม่มีการสานต่อการทำงานก็เลยเหมือนกับกลายเป็นใช้อนุกรรมการซึ่งก็ยอมรับว่า การทำงานในกรรมการสิทธิมนุษยชนจำนวน 7 คนหรือ 11 คนนั้นไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต้องมีอนุกรรมการที่มาจากคนที่หลากหลาย แต่อนุกรรมการนี้ก็เกิดช่องว่างว่ากรรมการคนนั้นๆ รู้จักใครก็เชิญคนนั้นมาเป็นอนุกรรมการ

ถามว่าเขามีความเชี่ยวชาญเขียนรายงานตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพไหมก็ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ถ้าอนุกรรมการนั้นเกี่ยวข้องกับภาครัฐเยอะ การวินิจฉัยก็มักจะแคบว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะว่าต้องตั้งคำถาม ก่อนว่าอะไรคือเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดจากหลักเกณฑ์อะไร ละเมิดรัฐธรรมนูญหรือละเมิดหลักการกฎหมายระหว่างประเทศอะไร อย่างไร แล้วถาละเมิดอย่างนี้ กรรมการสิทธิฯ มีความเห็นอย่างไร แล้วพอมีความเห็นให้ดำเนินการแก้ไขหน่วยงานของรัฐก็อาจจะไม่ทำตามก็ได้ เพราะไม่ใช่สายบังคับบัญชา

ผมว่านี่เป็นภาพรวมที่เป็นข้ออ่อนของกรรมการซึ่งผมเชื่อว่ากรรมการสิทธิฯ มีข้ออ่อนเรื่องเจ้าหน้าที่ของตัวเองที่ไม่มีการพัฒนาองค์ความรู้ เช่น การอบรม สั่งสมประสบการณ์ หรือไปเรียนจากต่างประเทศเพื่อจะกลับมาพัฒนางาน มัวแต่มาทะเลาะกันภายในสำนักงาน ภายในระหว่างการสั่งการ ระหว่างกรรมการ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเศร้ามากนะ ประชาชนไม่มีที่พึ่งเลยถ้าหน่วยงานทีทำงานเป็นความหวังปัดแข้งปัดขากันเอง

ประชาไท: การทำงานของกรรมการสิทธิฯ ที่ต่อเนื่องมาสิบกว่าปีแล้ว อะไรที่ท้าทายกรรมการสิทธิที่สุด

ศราวุฒิ: จริงๆ แล้วสถาบันนี้ควรจะทำหน้าที่เป็นหลักของสังคม เป็นหลักเสาหนึ่งได้นะ คือสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยซึ่งมีสามส่วนใหญ่ๆ  คือหลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย ซึ่งต้องไปพร้อมๆ กัน หลักนิติธรรมนั้นเป็นรากฐานของสิทธิมนุษยชนและเป็นรากฐานของระบอบ ประชาธิปไตย ฉะนั้นถ้ามันไปด้วยกันได้ รัฐที่ฟังเสียงขององค์กรอิสระเพื่อแก้ไขปัญหามันจะส่งเสริมประชาธิปไตยใน ระยะยาว

แต่ถ้าเกิดองค์กรอิสระเลือกข้างหนึ่งซึ่งเอียง ไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม นิติรัฐ ก็จะไม่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และรวมไปถึงเรื่องไม่มีธรรมาภิบาลระยะยาวด้วย ผมเชื่อว่ามันจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย นี่ตอนนี้บ้านเรา 4-5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ข้าราชการต่างๆ องค์กรอิสระต่างๆ เลือกข้าง ซึ่งมันไม่ควรจะเลือก  เราควรจะเลือกประเด็นความสนใจทางการเมือง พรรคการเมืองเรื่องแบบนี้เลือกได้อิสระ แต่เมื่อคุณทำงานในอาชีพที่ให้คุณให้โทษแล้วเลือกข้างไม่ได้ ข้างที่เลือกได้คือหลักการพื้นฐานและกลไกด้านสิทธิมนุษยชน

ทีนี้กรรมการสิทธิชุดใหม่นี้เองก็บางคนเลือกข้างชัดเจนว่าจะไม่เอาข้าง รัฐบาล เพราะฉะนั้นก็จะไม่ตรวจสอบรายงานที่เกี่ยวกับเรื่องสลายการชุมนุม ไม่กล้าฟันธง ผมก็ยังไม่แน่ใจนะว่าการไม่กล้าฟันธงเพราะกลัวปัญหาทางการเมือง หรือเป็นเพราะไม่มีองค์ความรู้เพียงพอที่จะเขียนรายงาน ถ้าเกิดเขียนรายงานวินิจฉัยแล้วมันอิหลักอิเหลื่อกับความถูกต้องกับคนที่เรา เลือกเชียร์ แล้วตรวจสอบแล้วจะเจอข้อเท็จจริงมากมายว่าคำสั่งนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง นี่เป็นปัญหาที่ต้องก้าวข้ามพ้นให้ได้ ถ้าก้าวไม่พ้นประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิทางการเมือง กรรมการสิทธิฯ อยู่ไม่ได้

ประชาไท: คุณมองว่ากรรมการสิทธิฯ ล้มเหลวในประเด็นสิทธิทางการเมืองใช่ไหม

ศราวุฒิ: ถือว่าล้มเหลวก็คงจะได้ เพราะว่าในบางเรื่องไม่มีแอคชั่น ไม่มีความเห็นที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อย่างความเห็นเรื่องมาตรา 112 กรรมการสิทธิฯ ก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจนว่ามองอย่างไร แต่เนื่องจากตัวเองเกร็ง กลัวว่าจะไปขัดกับความเชื่อความจงรักภักดีของตัวเองก็เลยไม่กล้าออกมาเป็น คณะที่จะฟันธง นอกจากหมอนิรันดร์ที่ออกมาพูดหรือไปประกันนักโทษการเมืองบางคน แต่ก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะไม่ใช่องค์คณะของกรรมการสิทธิฯ ทั้งหมด

อนุกรรมการที่ทำเรื่องกระบวนการยุติธรรมไม่มีผลงานอะไรเลยในปีนี้ที่จะ เสนอแนะแก้ไขปัญหาเรื่องกรอบในการใช้หลักนิติธรรมในกระบวนการยุติธรรม เรื่องเด็ก เรื่องผู้หญิงก็ไม่เด่นชัด เรื่องความหลากหลายทางเพศอาจจะมีความเคลื่อนไหวแต่เป็นเพราะว่าเครือข่ายของ กลุ่มนี้เขาเข้มแข็งมาอยู่แล้ว ไม่ได้เข้มแข็งเพราะกรรมการ

ส่วนประเด็นสิทธิอื่นๆ เรื่องทรัพยากรทางทะเล ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ผมคิดว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ยังจับจุดไม่ถูกว่าจะออกไปตรงไหนเพราะว่าคนที่ มาร้องเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นเครือข่ายของเอ็นจีโอในเรื่องนั้นๆ ผมคิดว่าเป็นข้ออ่อนเหมือนกันที่มีเพียงกลุ่มเดียวที่เชี่ยวชาญหรือแอคทีฟใน เรื่องนี้ ตัวชาวบ้านถ้าไม่มีเอ็นจีโอหรือคนที่ไปทำงานในพื้นที่ เขาก็อาจจะไม่มีช่องทางที่จะมาร้องเรียนกรรมการสิทธิฯ ได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นข้ออ่อนของกรรมการสิทธิฯ

ประชาไท: คุณเข้าไปทำหน้าที่อนุกรรมการฯ ในฐานะที่เป็นคนทำงานภาคประชาสังคม และได้เข้าไปร่วมงานบ้างในฐานะอนุกรรมการ พบปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง

ศราวุฒิ: กลไกการตรวจสอบมีปัญหาอยู่ คือแม้ว่ากรรมการสิทธิฯ จะสามารถมอบหมายให้อนุกรรมการฯ เป็นเจ้าพนักงานตรวจสอบตามกฎหมายได้ แต่ความสามารถของคนที่ไปตรวจสอบนั้นผมคิดว่าเป็นปัญหาเหมือนกัน คือเป็นบุคลากรที่ไม่ได้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบบางเรื่องซึ่งผมคิดว่า...คือ บางคณะบางอนุฯ เขามีผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ซึ่งเชี่ยวชาญจริง แต่ถามว่าจะตรวจสอบรัฐหรือเปล่าก็อีกเรื่อง ซึ่งผมเห็นว่าอนุฯ เรื่องกระบวนการยุติธรรมนั้นไม่ตรวจสอบรัฐ เช่นมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การละเมิดสิทธิ คือพิจารณาเหมือนกับว่าตัวเองเคยเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้นของรัฐมาก่อน ก็เห็นใจพวกเดียวกัน ซึ่งผมว่ามันไม่ถูกเพราะคุณสวมหมวกเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญต้องฟันธง แต่การจะอธิบายว่าเรื่องนี้ละเมิดหรือไม่ละเมิดไม่ได้เป็นการทำลายสี หรือเหล่าของตัวเองหรือภาคที่ตัวเองทำงานอยู่ แต่มันคือการสร้างหลักประกันให้แก่ประชาชนและสร้างมาตรฐานของการปฏิบัติใน หลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน

ประชาไท: กรรมการสิทธิเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาสังคมมากแค่ไหน

ศราวุฒิ: ก็เปิดอยู่นะ แต่ผมคิดว่ามันยังไม่หลากหลายมาก คือวนเวียนกันอยู่ไม่กี่กลุ่ม คือถ้าเป็นเอ็นจีโอใหม่ๆ ที่มีประเด็นใหม่ๆ อย่างเรื่องคอมพิวเตอร์ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะมีการเชิญใครเข้ามาเป็นอนุกรรมการ ในการตรวจสอบประเด็นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ นอกจากอาจารย์มหาวิยาลัยที่สอนเรื่องกฎหมายกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ซึ่งอาจารย์พวกนี้ก็จะมีภาระงานเยอะมากอยู่แล้ว เอ็นจีโอที่ทำงานด้านเสรีภาพเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็อาจจะถูกมองว่าเลือกข้าง เลยไม่ได้รับเชิญเข้ามาเป็นอนุกรรมการ ผมคิดว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องทบทวน

ผมยังมีปัญหาอีกว่าบางเรื่องเอ็นจีโอบางกลุ่มทำงานเรื่องภาคใต้แต่เข้าไป เป็นอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิโดยเจ้าหน้าที่รัฐในภาคใต้ มันก็มีผลประโยชน์ทับซ้อน นี่พูดตรงไปตรงมา เพราะคุณร้องเรียนเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว แต่คุณใช้ขาของกรรมการสิทธิฯ ในการลงไปตรวจสอบแล้วเอาข้อมูล แต่ถามว่าข้อมูลแบบนั้นจำเป็นต่อสาธารณะไหม ก็จำเป็น คือโดยหลักถ้าเราคิดว่ากรรมการสิทธิฯ เป็นประโยชน์และมาพึ่งเอ็นจีโอเหล่านี้เพื่อขอข้อมูลซึ่งกรรมการสิทธิฯ อาจจะไม่ต้องพึ่งเอ็นจีโอก็ได้ ทำหน้าที่ตัวเองได้โดยตรงเพียงแต่ว่าเจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ จะต้องมีความสามารถบางอย่างที่มีประสบการณ์ที่เอ็นจีโอทำอยู่แล้งลงไปทำ ซึ่งผมก็คิดว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ หลายคนที่มีความสามารถทำงานได้ แต่หลายส่วนก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา แล้วบางส่วนอยู่ในช่วงปัดแข้งปัดขากันแล้วไม่สนใจที่จะทำงาน (หัวเราะ)

ผมก็คิดว่านี่เป็นข้อที่น่าเสียดายอย่างยิ่งนะ ทำงานมาแปดปี สิบปี ไม่มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนเลย กรรมการก็ไม่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งผมคิดว่าน่าเสียดาย และคิดว่ารุ่นต่อๆ ไปก็ต้องหาคนที่มีวิสัยทัศน์ในด้านการบริหารเข้ามาดูแลเฉพาะเรื่องบุคลาการ

ประชาไท: กรรมการสิทธิฯ ในฝันของคุณ ถ้าแก้รัฐธรรมนูญได้ ตัวองค์กรควรจะเป็นอย่างไร ทั้งที่มา ทั้งรูปแบบ

ศราวุฒิ: รูปแบบโอเคแล้ว แต่ว่าการเชื่อมโยงระหว่างการบริหารงานระหว่างกรรมการกับเลขาฯ ต้องมีการเขียนอย่างไรที่จะไม่ให้เลขาฯ ฟังเฉพาะประธานอย่างเดียว เลขาธิการอาจจะมาจากภาคเอกชนที่ไม่ใช่ภาครัฐ เจ้าหน้าที่ของกรรมการสิทธิฯ โอนมาจากภาคเอกชนได้ คือรับใครก็ได้ แต่มีประสบการณ์เพื่อให้สามารถมีความหลากหลายในมุมมองการทำงานไม่ติดกรอบ ระบบราชการ แยกออกจากระบบรัฐสภามาทำหน้าที่องค์กรอิสระ แต่ยึดโยงกับระเบียบ ก.พ.หรืออะไรก็ตามที่พออนุโลมได้ ดึงคนที่มาจากระบบราชการเก่ามาพัฒนาสำนักงาน แล้วเขียนไปเลยว่าการได้มาของเลขาธิการและบุคลากรมาจากความหลากหลาย มีสวัสดิการ งบประมาณ เงินเดือน

ที่มาของกรรมการ ผมคิดว่าย้อนกลับไปใช้แบบปี 2540 ก็จะดีกว่าในแง่ความหลากหลาย แล้วคนเหล่านี้ก็จะสมัครเข้ามาแล้วให้วุฒิสภาเป็นคนคัดเลือกและถอดถอนได้

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2013/02/45502 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น