Alienation: การสร้างสภาวะแปลกแยกโดยระบบทุนนิยม (ตอนที่ 2)
ลัทธิบูชาสินค้า: ในระบบตลาด ผู้ผลิตและลูกค้ารับรู้ร่วมกันว่าจะต้องทำการแลกเปลี่ยนกันระหว่างเงินกับสินค้า (ที่มาเว็บวิกีพีเดีย http://en.wikipedia.org/wiki/Commodity_fetishism [1] )
พจนา วลัย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
พจนา วลัย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
โดย พจนา วลัย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
องค์กรเลี้ยวซ้าย
จากตอนที่ 1
อธิบายถึงการสร้างสภาวะแปลกแยกในโครงสร้างทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยม
และในตอนที่ 2
นี้เชื่อมโยงโครงสร้างทางการเมืองระดับบนหรือระบบรัฐว่าสัมพันธ์กับโครง
สร้างระดับฐานอย่างไร
รัฐเป็นตัวสร้างสภาวะแปลกแยกเหินห่างจากความเป็นมนุษย์
และปัญหาความขัดแย้งทางชนชั้นอย่างไร
จากการที่ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่คอยสัญญากับประชาชนว่า
ประชาชนจะมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เมื่อมองไปรอบๆ ตัว
ช่างดูห่างไกลคือ เราเห็นอัตราการหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก
การกดขี่ผู้หญิงและเด็ก การค้าหญิงบริการทั่วไป การใช้ความรุนแรง
การติดยาเสพติด ปัญหาโรคติดต่อ ความเครียด
เสียสุขภาพจิตและความรู้สึกแปลกแยก ความหดหู่ของผู้คนจำนวนมาก
ดังนั้นสิ่งที่มากไปกว่าความสำเร็จในชีวิต คือ
คนจำนวนมากกำลังเผชิญกับความแปลกแยก ในขณะที่มีคนหลายคนไม่รู้สึกแปลกแยก
แต่อาจมีแนวโน้มที่จะหลอกตัวเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
บางทีมีความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
มีความหมายเพราะมีมายาคติเกี่ยวกับบริบท/สภาพแวดล้อมและตัวตนของตัวเอง
ทำไมระบบทุนยังคงผลิตซ้ำสังคมแบบชนชั้นได้ จวบมาถึงยุคสมัยใหม่
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ข้างต้นเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลก
ความแปลกแยกของมนุษย์ยังคงฝังรากลึกในสังคมชนชั้น (เออร์เนส แมนเดลและจอร์ช โนแว็ค. The Marxist Theory of Alienation. New York: Pathfinder Press. 2nd edition, 1973, น.7)
ที่ชนชั้นแรงงานถูกทำให้ไร้อำนาจในการตัดสินใจผลิตและเป็นเจ้าของผลผลิตร่วม
กัน ส่วนชนชั้นนายทุนผูกขาดอำนาจการบริหารปกครองในภาคการผลิต
และเป็นอภิสิทธิชน ทั้งนี้มีรัฐ ชนชั้นผู้ปกครองช่วยรักษาสถาบัน ระเบียบ
กฎหมายที่ให้อำนาจแก่ชนชั้นนายทุน
สร้างความชอบธรรมและส่งเสริมการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพในการผลิต
และเพิ่มอัตราการขูดรีดผู้ใช้แรงงานมากขึ้นด้วย
ระบบรัฐทุนนิยมเกี่ยวข้องกับสภาวะแปลกแยกอย่างไร
รัฐสมัยใหม่ประกอบด้วยสถาบันทางการเมือง
สถาบันที่เกี่ยวข้องกับพลเมือง วัฒนธรรมและความเชื่อ
แต่ยังประกอบด้วยระบบความสัมพันธ์ของกลุ่มพลังทางสังคมที่พยายามถ่วงดุล
อำนาจซึ่งกันและกัน ต่อสู้กันและผลผลิตของการต่อสู้ก็อยู่ในระบบรัฐสมัยใหม่
ซึ่งรัฐสมัยใหม่เป็นรัฐทุนนิยม เพราะมีกลไกอุดมการณ์
ความคิดความเชื่อที่ครอบงำแรงงานให้มีรูปการจิตสำนึกผลิตซ้ำระบบทุนนิยม
แม้จะมีการต่อสู้กันระหว่างชนชั้น แต่ก็มีการประนีประนอมกันได้เป็นช่วงๆ
จากรูปธรรม รัฐต้องการเงินภาษีจากนายทุน และมีผลประโยชน์ของตัวเอง
เพราะรัฐก็ผลิต หาเงิน สะสมทุนด้วย จึงมีกฎหมาย สถาบันค้ำจุนระบบทุนนิยม
และไปเสริมสร้างสภาวะแปลกแยกให้แก่พลเมืองมากขึ้น
เนื่องจากรัฐใช้อำนาจก้าวก่ายชีวิตของพลเมืองมากเกินไป
เสริมสร้างระบบการแบ่งงานกันทำ ใช้ระบบการจ้างงานยืดหยุ่น
คนทำงานขาดความมั่นคง สังคมขาดการคุ้มครอง คนตกงาน
ได้รับผลกระทบเมื่อเกิดวิกฤตมากกว่าพวกนายทุน
นอกจากนี้รัฐทุนนิยมยังส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่สร้างลัทธิบูชา/คลั่ง
สินค้า (Commodity fetishism) และความเชื่อบางอย่าง
ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์แปลกแยกเหินห่างซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้อยู่ภายใต้ฐานเศรษฐกิจแบบแบ่งงานกันทำ แบ่งเป็นสาขาวิชา
ข้อมูลถูกแยกส่วน ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ แรงงานสมอง แรงงานไร้ฝีมือ
ที่ทำให้สังคมมองแรงงานเป็นแค่เครื่องมือการผลิต
แต่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัดสินใจในระบบการผลิต
จากนั้นความเป็นอยู่ของทุนกับแรงงานก็แตกต่างเหลื่อมล้ำกันจากความสัมพันธ์
เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันนั่นเอง
ลัทธิบูชาสินค้า คือ การแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
ที่มีรากมาจากการค้าขายสินค้าในระบบตลาด
ด้วยวิธีที่ความสัมพันธ์ทางสังคมของคนถูกแสดงออกมาในลักษณะเป็นความสัมพันธ์
ทางเศรษฐกิจ/วัตถุบริโภค
เป็นความสัมพันธ์ในเชิงแลกเปลี่ยนระหว่างเงินและสินค้า ผู้ซื้อกับผู้ขาย
นั่นคือ การแปลงลักษณะอัตวิสัย/นามธรรมของมูลค่าทางเศรษฐกิจไปเป็นตัววัตถุ
สิ่งของที่คนเชื่อว่ามีค่าอยู่ในตัวอยู่แล้ว
(โดยไม่ต้องไปสืบค้นหาที่มาของการสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการ
ซึ่งจริงๆ มาจากการทำงานของแรงงาน) พูดง่ายๆ คือ
คนมักสัมพันธ์กันในระบบการซื้อขาย แลกเปลี่ยนในตลาด
สนใจแต่เรื่องมูลค่าแลกเปลี่ยนหรือราคาตลาด
แต่ไม่สนใจว่าสินค้าหรือบริการนั้นถูกสร้างให้มีมูลค่าในระบบการผลิตอย่างไร
ด้วยเหตุนี้การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในตลาดจึงคอยบดบังลักษณะทาง
เศรษฐกิจที่แท้จริง (Real economy)
ที่เป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ในระบบการผลิต
ความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงานคือแก่นสารของระบบทุนนิยมนั่นเอง
การที่รัฐเข้าไปค้ำจุนระบบทุนนิยม
และตอกย้ำสภาวะแปลกแยกให้แก่ชนชั้นแรงงานและความแตกแยกทางชนชั้นมากขึ้น คือ
การกีดกันประชาชนออกไปจากการมีส่วนร่วมในการเมือง การบริหาร การปกครอง
การทำให้เป็นพลเมืองชั้นสอง การทำให้เป็นชายขอบ
เพื่อไม่ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ ทรัพยากร
ปัจจัยการผลิตในการดำรงชีพและพัฒนาระบบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย
และรัฐยังมีบทบาทในการประนีประนอมการต่อสู้ระหว่างทุนกับแรงงาน
อีกทั้งจัดตั้งและใช้กลไกปราบปราม (คุก ศาล ทหาร ตำรวจ) ในการจัดการ
ทำลายขบวนการประชาธิปไตย
งานของอันโตนิโอ กรัมชี่
ได้อธิบายรัฐว่าเป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มพลังทางสังคมหรือชนชั้น
ที่ประกอบด้วย 2 ชนชั้นคือ ชนชั้นปกครองและชนชั้นผู้ถูกปกครอง
(ชนชั้นปกครองหรือผู้มีปัจจัยการผลิต ประกอบด้วยนายทุนใหญ่
เจ้าที่ดินและนายทุนน้อยหรือนายทุนในชนบท ซึ่งครอบครองปัจจัยการผลิต
และชนชั้นผู้ถูกปกครองคือ
ชาวนาและกรรมาชีพในความหมายที่กว้างคือทั้งคนงานในโรงงาน ช่างฝีมือ
นักบวชและกลุ่มปัญญาชนด้วย) แต่ชนชั้นปกครองเข้าถึงการใช้อำนาจบังคับ
สร้างความยินยอมพร้อมใจเหนือผู้ถูกปกครอง และครอบงำด้วยอุดมการณ์
และไม่ต้องการที่จะถูกท้าทายจากกลุ่มพลังอื่นๆ นั่นหมายความว่า
ในระบบรัฐเต็มไปด้วยนายทุน (ผู้บังคับบัญชา) มากกว่าแรงงาน
(ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา) นายทุนในคราบนักการเมืองรวยๆ
ในพรรคการเมืองที่ใช้นโยบายเอื้อให้เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ผลิต
และสะสมทุนต่อไปได้ รวมทั้งองค์กร หน่วยงานรัฐที่ประกอบการ
ข้าราชการถือหุ้นรัฐวิสาหกิจ บรรษัท ไต่เต้าและสะสมความมั่งคั่งเช่นกัน
แต่สิ่งนี้ถูกทำให้ชอบธรรม บดบัง บิดเบือนได้ด้วยกระบวนการกล่อมเกลา
อบรมทางสังคม ด้วยความคิดความเชื่อทางอุดมการณ์อยู่เบื้องหลัง
กลไกทางอุดมการณ์ของรัฐทุนนิยม
"อุดมการณ์" (Ideology) หรือ ทัศนคติ/มุมมอง/กรอบในการมองโลก
ซึ่งความคิดและสัญลักษณ์ต่างๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นอุดมการณ์โดยทั่วไปจะถูก
กำหนดขึ้นมาจากชนชั้นปกครอง สิ่งที่ถูกสั่งสอนกันมาในระบบทุนนิยม คือ
การยอมรับระบบกรรมสิทธิ์เอกชน ความยากจนและการกดขี่เป็นเรื่องธรรมดา
รัฐและพรมแดนเป็นเรื่องธรรมชาติ สถาบันกษัตริย์
ศาสนาเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ผลประโยชน์ที่คนบางกลุ่มได้รับเป็นผลประโยชน์ของทุกคน
หรือผลประโยชน์ของชาติคือผลประโยชน์ของทุกคน
ที่เข้ากันได้กับแนวคิดลัทธิชาตินิยม กษัตริย์นิยม
ที่วางกรอบคิดระบบรัฐรวมศูนย์การปกครองไว้ที่ส่วนกลาง
ในขณะเดียวกัน รัฐก็จะขจัดมุมมองที่ว่า เรามีความแตกต่างทางชนชั้น
บดบังร่องรอยการแบ่งแยก ความขัดแย้ง การลุกขึ้นสู้ของชนชั้นผู้ถูกปกครอง
เช่น
ข่าวสารในสื่อของรัฐมักจะถูกขัดเกลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากอุดมการณ์ของชนชั้น
ปกครอง กล่าวคือ มีการนำเสนอข่าวสารแต่เฉพาะนักการเมืองระดับสูง
ภาพความร่วมมือระหว่างผู้นำภาคธุรกิจ
และความสามัคคีปรองดองกันระหว่างกลุ่มทางสังคมและชนชั้นต่างๆ
ส่วนภาคการเมืองการต่อสู้ของประชาชนถูกทำให้เลือนลาง ทว่า
รัฐกลับก่อให้เกิดรอยร้าวระหว่างสองชนชั้นมากกว่าความปรองดอง
รอยร้าว ความแตกแยกระหว่างความสัมพันธ์ของกลุ่มพลังทางสังคม/ชนชั้น 2
ชนชั้นนี้ แสดงออกมาในรูปแบบการทำสงครามกัน 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
สงครามแย่งชิงพื้นที่ทางความคิด
ที่ชนชั้นที่ถูกกดขี่ท้าทายการครองอำนาจของชนชั้นปกครอง และสงครามปะทะกัน
ที่มักเกิดขึ้นในสังคมที่เปราะบาง
ทว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยั่งยืนเพราะไม่สามารถครองใจคนได้นาน
เนื่องจากเน้นการใช้กำลังบังคับฝ่ายตรงข้าม
กรัมชี่เสนอให้ชนชั้นกรรมาชีพใช้รูปแบบทำสงครามยึดพื้นที่ทางความคิดใน
ประชาสังคม การบ่อนเซาะวัฒนธรรมของชนชั้นปกครองในสถาบันต่างๆ
ซึ่งเป็นกลไกทางอุดมการณ์ของชนชั้นนำ เช่น โรงเรียน สถาบันศาสนา สื่อมวลชน
แม้แต่ในสหภาพแรงงาน และสร้างความรับรู้ใหม่
โลกใบใหม่ที่คนเท่าเทียมกันและเอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่เพื่อสร้างดุลยภาพ
ทางอำนาจให้เหนือกว่ากับชนชั้นปกครอง
ในขณะที่ชนชั้นปกครองก็มีวิธีการสร้างดุลยภาพของอำนาจให้เหนือกว่า คือ
การปฏิวัติเงียบเพื่อให้เกิดการปฏิรูปจากบนลงล่างโดยกีดกันคนส่วนใหญ่ออกไป
จากอำนาจในระบบการเมืองเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะถูกท้าทายจากสังคม
หรืออยู่ในภาวะวิกฤตศรษฐกิจ จึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากการถูกต่อต้าน
ด้วยการประนีประนอม แต่ก็พยายามรักษาและสืบทอดอำนาจทางการเมืองของตัวเอง
ด้วยการลดทอน ขัดขวาง ทำลายความเป็นเอกภาพของชนชั้นที่ถูกปกครองด้วย (วัชรพล พุทธรักษา. กลุ่มพลังทางสังคม: อันโตนิโอ กรัมชี่กับตัวแสดงทางการเมือง. ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. ไม่ระบุปีที่พิมพ์)
แต่ กรัมชี่ก็เสนอว่า หากชนชั้นผู้ถูกปกครองต้องการเอาชนะ
มีอำนาจเหนือกว่า
ต้องต่อต้านการปฏิวัติเงียบหรือแนวคิดปฏิรูปของชนชั้นปกครองนี้
ด้วยการทำงานแนวร่วม ทำงานทางความคิดกับประชาชนกลุ่มต่างๆ ให้มากที่สุด
สรุปตรงนี้คือ
เมื่อรัฐทุนนิยมถูกชนชั้นนายทุนเข้ามาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง
รักษาผลประโยชน์ในระยะยาว
และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเองก็แสวงหาความมั่งคั่ง
รัฐจึงทำหน้าที่สลายความขัดแย้งทางชนชั้น บิดเบือน
ป้องกันการเกิดการรวมตัวเคลื่อนไหวของชนชั้นกรรมาชีพที่จะเป็นอันตรายต่อ
ระบบทุนนิยม และเมื่ออยู่ในสภาวะความขัดแย้ง
ผู้มีอำนาจรัฐมักจะทำตัวเป็นกลางคอยไกล่เกลี่ย
และบิดเบือนการต่อสู้ของชนชั้นกรรมาชีพ อย่างไรก็ตาม
รัฐไม่สามารถครอบครองจิตใจของคนได้อย่างเบ็ดเสร็จ เป็นเวลานานๆ
เพราะในความเป็นจริงมีการต่อสู้ต่อต้านของประชาชนทั้งในระดับชีวิตประจำวัน
และระดับการเมือง
การครองใจผ่านสภาวะแปลกแยก
เมื่อมีการต่อสู้ทางชนชั้น
แต่ทำไมกรรมาชีพยังไม่สามารถเอาชนะได้ทั้งหมด เหตุหนึ่งคือ
การถูกทำลายเอกภาพด้วยความคิด ความเชื่อ
ความคลั่งที่ปลูกฝังกล่อมเกลามาอย่างยาวนานและเป็นประจำ
แล้วทำไมประชาชนจำนวนมากถึงเชื่อนิยายของชนชั้นปกครอง
ทำไมเขาครองใจคนจำนวนมากได้ ทำไมคนเชื่อว่า “ตลาด”
มีพลังหรือชีวิตของมันเองที่เราต้องจำนนต่อ ทั้งๆ
ที่ตลาดเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ทำไมคนลืมว่ามนุษย์สร้างพระพุทธรูปด้วยมือของตนเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ
ศาสนา
แต่หันมาเชื่อว่าพระพุทธรูปมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์วิเศษหลังจากที่ถูกสร้างขึ้น
มา (ลั่นทมขาว. รากฐานและรูปแบบของ“อำนาจ”. เว็บไซด์องค์กรเลี้ยวซ้าย. 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555. http://turnleftthai.blogspot.com/2012/07/blog-post_18.html [2] )
แล้วทำไมคนจำนวนมากในไทยเชื่อเรื่องความดีสูงสุดของกษัตริย์และราชวงศ์
ซึ่งการครองใจชนชั้นผู้ถูกปกครองดำรงอยู่ได้
เพราะด้วยสภาวะแปลกแยกที่ชนชั้นกรรมาชีพกำลังทุกข์ทรมานกับการถูกลดทอน
ศักดิ์ศรี อำนาจในระบบเศรษฐกิจการเมืองของลัทธิทุนนิยม/เสรีนิยม ให้เสรีภาพ
สิทธิพิเศษ อำนาจการต่อรองแก่นายทุนมากกว่า
งานของจอร์ช ลูคักส์
ว่าด้วยปรากฏการณ์ของจิตสำนึกจอมปลอมผ่านกระบวนการสร้างรูปธรรมจอมปลอม
(Reification) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้างสภาวะแปลกแยก
สภาวะแปลกแยกดังเช่นกรณีการแบ่งแรงงานสมองออกจากแรงงานมือเพื่อแบ่งแยกและ
ปกครองเพื่อง่ายต่อการคิดคำนวณมูลค่าและค่าจ้างจากการผลิต
แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถแบ่งได้เพราะสมองกับสองมือเมื่อถูกแยกจะไม่เป็น
มนุษย์ที่สมบูรณ์
หรือการมุ่งสู่เป้าหมายแสวงหากำไรสูงสุดของนายทุนมากเกินไป
แต่ไม่ใส่ใจวิธีการ
กระบวนการที่นำไปสู่เป้าหมายว่าได้ไปกดขี่ขูดรีดผู้ผลิตหรือไม่
และมองมนุษย์ลูกจ้างเป็นเพียงแค่ปัจจัย/เครื่องมือการผลิตที่ถูกใช้เพื่อ
เป้าหมายของตัวเองหรือไม่ การที่ลูกค้ามุ่งสนใจแต่สินค้า
โดยละเลยที่จะเข้าไปดูกระบวนทำงานและสภาพการจ้างงานของแรงงานว่าเป็นอยู่
อย่างไร
การสร้างรูปธรรมจอมปลอมใส่ไปในหัวสมองของชนชั้นแรงงาน
คือการที่ทุนทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นความสัมพันธ์กันในเรื่องของการ
ค้า การตลาด
หรือทำให้ความสัมพันธ์ของคนอยู่บนฐานของเรื่องเกี่ยวกับวัตถุที่ค้าขายแลก
เปลี่ยนกัน เป็นกระบวนการแยกต้นกำเนิดออกไป
แล้วแทนที่ด้วยปรากฏการณ์ภายนอก แยกเปลือกออกจากแก่นแท้
ซึ่งเป็นการบิดเบือนจิตสำนึกของคนจากความเดียงสาไปสู่ความเพี้ยนสุดๆ
รูปธรรมจอมปลอมเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รับรู้ไปในทางที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับ
“ข้อเท็จจริงของธรรมชาติ, ผลลัพธ์ของกฎจักรวาล หรือการแสดงเจตจำนงของเทพ
รวมถึงการสร้างความต้องการที่จอมปลอม
สร้างภาพว่าสินค้านั้นเป็นที่ต้องการที่มาจากภายในตัวมนุษย์
ที่ระบบกฎหมายของรัฐทุนนิยมสันนิษฐาน ทึกทักเอาเองว่าคนต้องการสินค้าจริงๆ
และการร่างกฎหมายอนุญาตให้ผู้ประกอบการสร้างสินค้าเช่นนั้น และดังที่คาร์ล
มาร์คซ์อธิบายศักยภาพของการสร้างรูปธรรมจอมปลอมว่า
ดอกเบี้ยที่เกิดจากทุน การบูชาสินค้าอย่างอัตโนมัติ
มูลค่าสร้างได้ด้วยตัวมันเอง เงินสร้างเงิน
เหล่านี้ถูกดึงออกมาให้อยู่ในสภาวะบริสุทธิ์ และตัดขาดออกจากผู้สร้างมัน
ราวกับว่ามันสร้างตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้
ความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนจึงถูกกลืนไปในความสัมพันธ์ของสิ่ง วัตถุ เงิน
แทนที่ของการผันเงินไปเป็นทุน เรามองเห็นแต่รูปแบบที่ไม่มีเนื้อหา
มีแต่เปลือกหุ้ม
เพราะการผันเงินเป็นทุนเป็นคุณลักษณะของเงินที่ก่อให้เกิดมูลค่าและ
ดอกเบี้ย ราวกับว่ามันเป็นลักษณะของต้นลูกแพร์ที่ออกเป็นลูกแพร์
และผู้ที่ให้ยืมเงินขายเงินของเขา พอๆกับที่ดอกเบี้ยสร้างสิ่งต่างๆ
แต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด การทำงานของทุนอย่างที่เราเห็นมาตลอด
นำเสนอตัวเองว่าเป็นแสงสว่างที่สร้างดอกเบี้ย แต่จริงๆ แล้วทุนในตัวมันเองคือ ทำให้เงินกลายเป็นทุนเพื่อใช้ประกอบการต่อไป
เมื่อดอกเบี้ยเป็นแค่ส่วนหนึ่งของผลกำไร ของมูลค่าส่วนเกิน
ที่นายทุนดูดออกมาจากแรงงาน แต่ในทางตรงข้าม
ดอกเบี้ยเป็นผลผลิตจำเพาะของทุน เป็นสิ่งพื้นฐานแรกเริ่ม
ส่วนกำไรของผู้ประกอบการเป็นผลผลิตของกระบวนการผลิตซ้ำ ดังนั้น
เมื่อเราเสพติดรูปแบบของเงินต่อเงิน เราจะไร้ความหมาย ดังนั้น
ความวิปริตผิดเพี้ยนและการทำให้ความสัมพันธ์ทางการผลิตของคนถูกละเลยและเน้น
เรื่องวัตถุ เป็นรูปแบบการทำงานของทุน เป็นการสร้างมายาภาพของนายทุน
และทุนก็จะถูกสะสม ผลิตซ้ำ สร้างให้ตัวเองมีอยู่อย่างอิสระ
ตัดขาดจากกระบวนการผลิต/การทำงานของแรงงาน ทั้งๆที่เงิน กำไร
ไม่ได้อยู่อย่างลอยตัว ผลลัพธ์ของกระบวนการผลิตแบบทุนเช่นนี้ คือ
การแยกออกจากกระบวนการ และสร้างตัวตนที่อิสระ (Georg Lukacs. History & Class Consciousness : Reification and the Consciousness of the Proletariat ที่มา : http://www.marxists.org/archive/lukacs/works/history/hcc05.htm [3] )
พูดง่ายๆ คือ กำไร ดอกเบี้ย
ค่าเช่าถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมชาติว่าเป็นผลตอบแทนของทุนและการลงทุน
และค่าจ้างเป็นผลตอบแทนของแรงงาน ทุนจึงมองว่าไม่ได้ไปเอาเปรียบแรงงาน
เพราะทุนสร้างผลตอบแทนเหล่านี้ขึ้นมาเอง
ลองนึกถึงภาพของธุรกิจการเงิน การเก็งกำไร
ที่หลุดออกไปจากฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงระดับราก เงินต่อเงินกลายเป็นทุน
เป็นรูปแบบที่ผลิตซ้ำเพื่อนำไปสู่การขยายกิจการต่อไป
การสร้างรูปธรรมจอมปลอมเพื่อให้เกิดจิตสำนึกจอมปลอมของผู้คนร่วมสมัย
แปลกแยกเพราะการผลิตที่มาจากผู้สร้างที่ได้รับเพียงค่าจ้างแต่ทว่าน้อยกว่า
มูลค่าที่ตัวเองสร้าง นั่นคือ มูลค่าส่วนเกินเป็นที่มาของกำไร ดอกเบี้ย
ค่าเช่า ที่ทุนได้ขูดรีดเอามาจากกระบวนการทำงานของแรงงาน ดังนั้น
แรงงานต่างหากที่เป็นผู้สร้างทุน ไม่ใช่กำไร ดอกเบี้ย ค่าเช่าด้วยตัวมันเอง
แรงงานสร้างมูลค่าที่มาจากการผลิตล้วนๆ
เครื่องจักรสมัยใหม่ถ้าไม่มีคนทำงานกดปุ่ม บังคับก็ผลิตอะไรไม่ได้
ถึงจะอัตโนมัติเพียงใดก็ตาม
แม้จะเอาหุ่นยนต์มาซ่อมแซมก็ต้องมีคนไปบังคับหุ่นยนต์อีกทีหนึ่ง
จากความสามารถในการสร้างรูปธรรมจอมปลอมของทุนคือ
การทำให้ตัวเองแลดูมีบทบาทสำคัญกว่าใครในการสร้างมูลค่า ความร่ำรวย
ความเจริญ ความรู้สมัยใหม่ให้แก่ประชาชน ประเทศชาติ
จึงเป็นฐานคิดของทุนในการสร้างอำนาจเหนือกว่าแรงงาน
ชนชั้นทุนจึงสร้างระบบรัฐ
กฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการและเป็นหนึ่งเดียวกับโครงสร้างของทุน
อีกทั้งโครงสร้างรัฐและทุนค่อนข้างคล้ายคลึงกันโดยพื้นฐานคือ
มีรูปแบบความสัมพันธ์ทางธุรกิจเป็นรากฐานของรัฐสมัยใหม่
เพื่อให้เข้ากันได้กับระบบโรงงาน
เห็นได้จากระบบเวลาเข้า-ออกโรงเรียนมาจากระบบโรงงาน ในทำนองเดียวกัน
ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในวงธุรกิจก็เป็นแบบเดียวกันในรัฐสมัยใหม่
และเช่นเดียวกับในอดีตอำนาจของช่างฝีมือครัวเรือน ของชาวนาเจ้าของที่ดิน
พระ อัศวินและศักดินาอยู่บนฐานความจริงที่ว่าเขาเองเป็นเจ้าของเครื่องมือ
สินค้า แหล่งทุน เงิน
หรืออาวุธเพราะเกื้อหนุนมาจากสิ่งที่เขาประสบความสำเร็จในการทำงานในกองทัพ
ในสถาบันการเมืองและในระบบเศรษฐกิจ หรือได้จากการทำงานในหน้าที่
ส่วนการพึ่งพาระดับบนของแรงงาน เสมียน ผู้ช่วยด้านเทคนิค
ผู้ช่วยในสถาบันวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐ ทหารระดับล่าง ก็เทียบเคียงกันได้
คือ เครื่องมือ สินค้า
แหล่งการเงินที่จำเป็นของทั้งสองฝ่ายเป็นไปเพื่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
เพราะความอยู่รอดทางเศรษฐกิจอยู่ในมือของผู้ประกอบการ
ผู้มีอำนาจทางการเมือง ดังนั้น
รัฐทุนนิยมจึงมีบทบาทแบ่งแยกชนชั้นระหว่างทุนกับแรงงาน
และแรงงานกับรัฐให้แหลมคมขึ้น
วิกฤตความเหลื่อมล้ำจึงเกิดขึ้นในรัฐรูปแบบนี้
การสร้างรูปธรรมจอมปลอมทำให้คนมีจิตสำนึกจอมปลอมอยู่ในหัวของชนชั้น
กรรมาชีพผู้ถูกปกครอง ทำให้ขาดความมั่นใจที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมชนชั้น
ลูคักส์จึงเสนอให้รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน
สูงสุดคือการสร้างพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้กับอุดมการณ์ของชนชั้นปกครอง
กรัมชี่เสนอให้ต่อสู้ในชีวิตประจำวันเพื่อบั่นทอนรูปธรรมจอมปลอมและเอา
จิตสำนึกจอมปลอมออกไปจากหัว เพราะวัตถุ
สินค้าไม่ใช่ตัวแทนของการดำรงอยู่ของสังคมแต่อย่างใด
การดำรงอยู่ของสังคมแท้จริงคือ
การเคารพศักดิ์ศรีของคนทำงานเพื่อให้เขามีอำนาจในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจและ
การเมือง และคือการคำนึงถึงสิทธิแห่งความเป็นคนที่เท่าเทียมกัน
ซึ่งจะเป็นฐานคิดสำหรับปรับปรุงรูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ในระบอบ
ประชาธิปไตยที่แท้จริง (สังคมนิยม) ต่อไป.
(ที่มา)
ความแปลกแยกของมนุษย์ในสังคมทุนนิยม 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น