การแก้หรือยกเลิกกฏหมาย 112 เป็นการล้มล้างทหาร กษัตริย์เป็นเพียงองค์ประกอบรอง
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ทหารโกหกว่าเขารับใช้กษัตริย์เสมอ แต่แท้จริงแล้ว เขารับใช้ตัวเองต่างหาก
เมื่อทหารก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ทหารโกหกว่ากระทำไปเพื่อ “ปกป้อง” ระบบ
ประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข
ต่อจากนั้นมีการเพิ่มการใช้กฏหมายหมิ่นกษัตริย์ฯ (มาตรา 112)
ในการปิดปากผู้ที่คัดค้านรัฐประหาร
และเพื่อให้ความชอบธรรมกับทุกอย่างที่ทหารและรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำในภายหลัง
จนในที่สุดมีการเข่นฆ่าประชาชนเสื้อแดงมือเปล่าด้วยข้ออ้างว่ากำลัง “ปกป้องสถาบันกษัตริย์”
เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ทหาร กษัตริย์ และ กฏหมาย 112 เพื่อให้เราชัดเจนว่าจะแก้ปัญหาเผด็จการตรงจุดใดบ้าง
ผู้ที่ทำลายประชาธิปไตยไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคจอมพลป. พิบูลสงคราม
คือทหาร โดยที่กษัตริย์ภูมิพลมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ในการถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงสัญญลักษณ์
เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทหารเป็นหลัก และกฏหมาย 112
มีไว้เพื่อไม่ให้ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของทหาร
ทหารโกหกว่าเขารับใช้กษัตริย์เสมอ แต่แท้จริงแล้ว เขารับใช้ตัวเองต่างหาก
การสร้างความชอบธรรมจากกษัตริย์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทหารไทย
เพราะทุกวันนี้กระแสประชาธิปไตยขยายไปทั่วโลกในจิตใจประชาชน
เวลาทหารทำรัฐประหารก็อาจพยายามอ้างว่าทำ “เพื่อประชาธิปไตย” แต่
ไม่ค่อยมีใครเชื่อ
เพราะบทบาททหารในการเมืองกับระบบประชาธิปไตยมันไปด้วยกันไม่ได้
นอกจากนี้กองทัพไทยไม่มีประวัติอะไรเลยในการปลดแอกประเทศไทยอย่างในกรณีกอง
ทัพอินโดนีเซียหรือเวียดนาม ดังนั้นทหารต้องอ้างความชอบธรรมจากที่อื่น
คือจากสถาปันกษัตริย์ ซึ่งทหารเป็นผู้ปั้นขึ้นกับมือในอดีต
นอกจากทหารแล้ว ชนชั้นนายทุนกับข้าราชการชั้นสูงในไทย
ก็พยายามเกาะโหนกษัตริย์ภูมิพลในรูปแบบเดียวกันด้วย
แต่นั้นไม่ได้แปลว่านายภูมิพลเป็น “เหยื่อ” เพราะ
เขาพร้อมใจจะร่วมมือกับทหารและนายทุนเสมอ
และที่สำคัญคือพร้อมจะรับตำแหน่งการเป็นประมุขของประเทศ
และได้ดิบได้ดีในด้านการเงินจากบทบาทนี้ ถ้าไม่อยากทำก็ควรลาออกตั้งแต่แรก
ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหาร นายทุนใหญ่ และนักการเมืองในรัฐสภา ต้องการให้ประชาชนมองว่านายภูมิพลเป็นทั้ง “กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” “กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์” และ “เทวดา” พร้อมๆ
กันหมด และจะมีการยัดเยียดสิ่งนี้ตลอด โดยเริ่มในโรงเรียนประถม
แต่มันมีเป้าหมายแอบแฟง เพราะทุกอย่างที่ชนชั้นปกครองทำกับพลเมืองไทย
ในสังคมที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม จะถูกเสนอว่าเป็นนโยบายของประมุข
ดังนั้นเราไม่มีสิทธิ์วิจารณ์
ดังนั้นหน้าที่ของกษัตริย์ภูมิพลคือการให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมเลวๆ
ของทหาร นายทุน และนักการเมือง
ผู้เขียนมองว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
รัฐไทยเป็นรัฐทุนนิยมสมัยใหม่
ทั้งๆที่มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญดำรงอยู่ในรูปแบบทหารและอำมาตย์ส่วนอื่นๆ
การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ทหาร กษัตริย์ และกฏหมาย 112 แบบนี้
แปลว่าในรูปธรรม การจัดการกับกฏหมาย 112
ต้องทำพร้อมกับการลดอำนาจอันไม่ชอบธรรมของทหาร
นี่คือสาเหตุที่นายพลหัวโบราณทั้งหลาย น้ำลายฟูมปาก
และพูดถึงการทำรัฐประหารรอบใหม่ เมื่อประชาชนออกมาเสนอให้แก้ไขหรือยกเลิก 112
พูดง่ายๆ 112 มีไว้ปกป้องทหารเป็นหลัก
การเริ่มเข้าใจว่าทหารคือศัตรูหลักของประชาธิปไตย และ กฏหมาย 112 ถูก
ใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของทหารเป็นหลัก
ไม่ได้ทำให้การต่อสู้ง่ายขึ้นเท่าไร
แต่อย่างน้อยมันช่วยให้เราชัดเจนว่าเราสู้กับใคร
แต่เรายังต้องหาทางกำจัดอำนาจทหารที่มาจากการใช้อาวุธและความรุนแรงอย่างที่
เราเห็นที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์เมื่อปี ๒๕๕๓
แน่นอนบทความนี้จะถูกตัดสินโดยทหารและพรรคพวกว่า “ผิดกฏหมาย 112” แต่มันไม่ใช่เพราะบทความนี้สร้างภาพว่ากษัตริย์ภูมิพลอ่อนแอ มัน “ผิด 112” เพราะมันเปิดโปงบทบาทของทหารในการใช้กษัตริย์ต่างหาก
แกนนำ นปช. เปลี่ยนจากนักต่อสู้ไปเป็นไม้ประดับของรัฐบาล
เรา
ต้องเข้าใจว่าในอดีต รัฐบาลไทยรักไทยและนายกทักษิณ ไม่ต่างอะไรจากทหาร
นายทุน และนักการเมืองอื่นๆ ที่พยายามใช้กษัตริย์ภูมิพล
เพื่อสร้างความชอบธรรมกับอำนาจตนเองในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ
นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยของยิ่งลักษณ์พร้อมจะใช้ 112 หนักขึ้นและคัดค้านการปฏิรูปใดๆ อีกสาเหตุคือเขากำลังปรองดองยอมจำนนกับอำนาจทหารด้วย
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทราบดีว่าถ้าไม่มีเสื้อแดงแต่แรก
เขาคงไม่ได้ชนะการเลือกตั้งแน่
และเขาทราบดีว่าเสื้อแดงจำนวนมากไม่สบายใจกับการจับมือประนีประนอมกับอำนาจ
ทหาร ดังนั้นจึงมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีเสื้อแดงอย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยสำคัญ
เพื่อเป็นไม้ประดับหลอกลวงและกล่อมขบวนการเสื้อแดงให้นิ่ง
ในขณะเดียวกันแกนนำ นปช. อื่นๆ ก็ค่อยๆ สลายพลังการเคลื่อนไหวของขบวนการ
เพื่อที่จะเป็นแค่กองเชียร์ของรัฐบาล และกองเชียร์ของรัฐบาลเพื่อไทย
ก็เท่ากับเชียร์ให้กับการก้มหัวให้ทหาร
นี่คือยุทธิ์วิธี “การนำนักเคลื่อนไหวมาเป็นพวก”
เพื่อมัดมือปิดปากและสลายขบวนการ
ในอดีตมีการใช้วิธีนี้ในฟิลิปปินส์หลังการล้มเผด็จการมาร์คอส
และในอังกฤษพรรคแรงงานมีความเชี่ยวชาญในวิธีการนี้เป็นพิเศษ
เมื่อใช้กับสหภาพแรงงาน
(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/317--112--.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น