หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ระบบทุนนิยมกับสภาพภูมิอากาศ

ระบบทุนนิยมกับสภาพภูมิอากาศ 

 

 
โดย มาติน เอมพ์ซอน
เรียบเรียงโดย นุ่มนวล  ยัพราช


โศกนาฎกรรมจากไต้ฝุ่นไฮ่เยี่ยนในฟิลิบปินส์ สะเทือนใจคนเป็นล้านทั่วโลก ประชาชนหลายพันเสียชีวิต อีกมากมายสูญเสียที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน ฟาร์ม และธุรกิจ 

ตลอด ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรามักจะดำรงอยู่ใต้อำนาจของสภาพภูมิอากาศ  แต่การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และการขยายตัวของพลังการผลิตภายใต้ทุนนิยมได้แปล เปลี่ยนสภาพเช่นนี้ไป อย่างไรก็ตามระบบทุนนิยมนั้นสร้างความยากจนและความหิวโหยสำหรับคนเป็นล้าน ล้าน และมันทำลายสภาพภูมิอากาศและนำไปสู่วิกฤติธรรมชาติ

 พายุไฮเยี่ยนโหมพัดเข้ามาในฟิลิปปินส์ ในขณะที่สหประชาชาติกำลังจัดการประชุมระดับโลกเรื่องปัญหาโลกร้อนที่เมือง วอร์ซอร์ ประเทศโปรแลนท์  นาเดเรฟ ซาโน สมาชิกคณะกรรมการโลกร้อนของฟิลิปปินส์ที่เข้าร่วมประชุมสหประชาชาติครั้งนี้  ได้ปราศรัยด้วยอารมณ์จากใจจริงเพื่อเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ลงมือแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากนั้นเขาประกาศว่าจะงดอาหารจนกว่าการประชุมจะจบลง

แต่ ซาโน และคนอื่นๆในประเทศฟิลิปปินส์จะผิดหวังในผลการประชุมครั้งนี้  ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 19 แต่การประชุมระดับโลกครั้งนี้ คงไม่ต่างจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา 18 ครั้ง เพราะมันจะไม่มีการตกลงอะไรเป็นรูปธรรม การลงมือในการแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ถูกทำให้มีอุปสรรคโดยนักการเมืองที่เน้นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใหญ่เหนือการแก้ปัญหาของสิ่งแวดล้อม  
  
นี่คือสภาพปกติของทุนนิยมชนชั้นปกครองดูแลผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น  พวกนายทุนเชื่อว่าการแข่งขันอย่างหน้าเลือดในตลาดเสรีเป็นระบบที่ดีที่สุด  แต่ เฟรเดอริค เองเกิลส์ ได้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 1876 ว่า “ในเรื่องธรรมชาติ และ ในเรื่องสังคม ระบบการผลิตในปัจจุบันเน้นหนักแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น และแล้วพวกนั้นก็แปลกใจเมื่อผลของการกระทำต่างๆ ในระบบนี้ตรงกันข้ามกับความหวังของคนส่วนใหญ่” 
   
ผลของระบบทุนนิยมทำให้คนเป็นล้านเผชิญหน้ากับวิกฤติสิ่งแวดล้อม ในประเทศอย่างฟิลิปปินส์ คนจนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะพยายามกอบกู้วิกฤติชีวิตจากโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ การขยายตัวของเมือง ความยากจน และการขาดแคลนที่ดิน  มันหมายความว่าคนจำนวนมากถูกบังคับให้ต้องอาศัยในพื้นที่เสี่ยง แม้แต่ในกรณีที่คนอาจจะย้ายถิ่นได้เขาก็ไม่ไปเพราะในถิ่นใหม่ไม่มีงานทำ 


ชนชั้นปกครองในประเทศอย่างฟิลิปปิสต์โกงกินพอๆกับชนชั้นปกครองในตะวันตก แต่เราไม่ควรจะลืมอำนาจระดับโลกของจักรวรรดินิยม  จักรวรรดินิยมเป็นผลพวงของการแข่งขันของรัฐต่างๆในระบบทุนนิยม ซึ่งอาศัยการใช้อำนาจทุกชนิดเพื่อจะควบคุมผลประโยชน์ การแข่งขันทางทหารระหว่างสหรัฐกับจีนเป็นตัวอย่างที่ดี ฟิลิปปินส์ ถูกแย่งชิงระหว่างสเปน อังกฤษ และ สหรัฐ ประเทศนี้ถูกทำให้เป็นตลาดเพื่อรองรับการส่งออกจากประเทศมหาอำนาจและแหล่งทรัยพากรและสินค้าเกษตรราคาถูก  ทุกวันนี้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศนำเข้าที่สำคัญที่สุดประเทศหนึ่ง สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ฟิลิปปินส์ผลิตอาหารฟื้นฐานอย่างข้าวไม่เพียงพอแต่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออกชนิดอื่นๆ เช่น มะพร้าว เป็นต้น  

ในโลกแห่งทุนนิยมการแบ่งลำดับชนชั้นต่างๆ ซึ่งเป็นหัวใจของระบบหมายความว่าคนจนที่สุดในประเทศยากจนจะเดือดร้อนมากที่สุดจากภัยธรรมชาติอันเป็นมีเหตุมาจากวิกฤติสิ่งแวดล้อม 
ชาวฟิลิปปินส์มีประสบการณ์อันยาวนานจากภูมิอากาศที่รุนแรง ปีที่แล้วมีคนตาย 2,000 คนจากพายุโบฟา ไฮเยี่ยน เป็นพายุที่สาม ที่เข้ามาในประเทศในปีนี้และในเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีพายุย่อยๆถึง 7 ครั้ง หมู่เกาะฟิลิปปินส์ เป็นพื้นดินแรกที่ต้องปะทะกับพายุซึ่งเกิดขึ้นกลางมหาสมุทรแปซิฟิก

เราไม่สามารถเจาะจงลงไปได้ว่าพายุอันหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาโลกร้อน  แต่เราสามารถฟันธงได้ว่าแนวโน้มของการเกิดพายุร้ายแรงที่เพิ่มขึ้น มีสาเหตุมาจากปัญหานี้แน่นอน ตัวเลขล่าสุดชี้ให้เห็นว่ามหาสมุทรแปซิฟิกได้เพิ่มอุณภูมิรวดเร็วที่สุดในรอบ 10,000 ปีที่ผ่านมา พายุไฮเยี่ยน จะได้รับพลังงานจากทะเลซึ่งเกิดจากเมื่อมีเมื่อปริมาณน้ำอุ่น เมื่อน้ำในทะเลอุ่นมากขึ้นพลังงานนี้ก็จะทวีอานุภาพเพิ่มขึ้นเป็นคู่ขนาน พายุจะเกิดขึ้นมากกว่าเดิม คณะกรรมการระหว่างประเทศที่ศึกษาปัญหาโลกร้อนรายงานเมื่อปีนี้ว่าพายุในมหาสมุทรแอตแลนติกทางเหนือมีความรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน

ข้อมูล จากที่อื่นอาจจะนำมาสรุปแบบง่ายๆไม่ได้แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาโลกร้อนมี ผลต่อวิกฤติสิ่งแวดล้อม ปัญหาไม่ได้จำกัดเฉพาะที่พายุอย่างไฮเยี่ยนเท่านั้น ข้อมูลจากมหาสมุทรที่ขั้วโลกเหนือเสนอว่าก๊าซมีเทรนผุดขึ้นมาจากท้องทะเลใน ปริมาณสูง กระบวนการนี้เร็วขึ้นเมือทะเลขั้วโลกเหนืออุ่นขึ้น  ก๊าซมีเทรนและก๊าซคาบอนไดส์ออกไซส์ เป็นก๊าซสำคัญที่เร่งให้อุณหภูมิโลกสูง  นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอว่าทะเลรอบขั้วโลกเหนือจะปลอดน้ำแข็งในเดือนกันยายน ปีหน้า น้ำแข็งของขั้วโลกมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนแสงดวงอาทิตย์ออกไปจากโลกดังนั้น ถ้าน้ำแข็งลดลงโลกจะร้อนขึ้น

ภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงในทุกที่ ในรัฐอาลาสก้าของสหรัฐซึ่งเป็นบ้านเกิดของนักการเมืองฝ่ายขาว ซาร่า เพลิน ที่ประกาศตัวว่าไม่เชื่อปัญหาโลกร้อน อุณภูมิในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยสูงกว่าปกติ 8 องศา

องค์กรอุตุนิยมวิทยาโลกรายงานว่าระดับน้ำทะเลปีนี้สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ปีนี้อาจจะเป็นปีที่ร้อนที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมาและเมื่อมีการละลายของน้ำแข็ง ระดับน้ำทะเลก็เพิ่มขึ้น  เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นผลของพายุก็ทวีร้ายแรงตามลำดับและน้ำจะท่วมพื้นดินในระดับต่ำ 
  
วารสารเดอะอีโคโนมิสต์ รายงานว่าพายุไฮเยี่ยนคงจะสร้างความเสียหายถึง 9,000 ล้านปอนท์ หรือ 463,800 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำเพราะฟิลิปปินส์เป็นประเทศยากจน  ถ้าพายุทำลายประเทศที่พัฒนามากกว่าฟิลิปปินส์ค่าเสียหายจะมีมูลค่าสูงกว่า ในปี 2011 สหรัฐอเมริกามีเหตุการณ์วิกฤติจากภูมิอากาศร้ายแรง 25 ครั้ง แต่ละเหตุการณ์สร้างความเสียหายในแต่ละเหตุการณ์ประมาณ 30 พันล้านบาท  

อย่างไรก็ตามความเสียหายจากพายุต่างๆ นับเป็นเม็ดเงินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ พายุไฮเยี่ยนมีผลกระทบกับประชาชนถึง 11 ล้านคน คาดว่า 600,000 คนไม่มีที่อยู่อาศัย ในปี 2010 น้ำท่วมในปากีสถานทำลายพื้นที่เกษตรถึง 5700,000,000 ตารางเมตร ฝนแล้งในอาฟริกาตะวันออกในปี 2011 มีผลกระทบต่อประชาชน 13 ล้านคน ฝนแล้งในรัสเซียในปี 2012 ทำให้ผลผลิตเกษตรลดลง 25%  

แต่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาโลกร้อน 2 ปีก่อนในการประชุมโลกร้อนของสหประชาชาติที่อาฟริกาใต้ มีการสัญญาว่าภายในปี 2015 จะมีข้อตกลงระหว่างทุกประเทศ ว่าจะไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 องศาจากยุคก่อนอุตสาหกรรม 
   
ข้อตกลงง่ายๆ อันนี้ ซึ่งไม่พอที่จะทำให้อุณภูมิโลกลดลง  ควรจะถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป แต่การผลิตก๊าซคาร์บอนไดซ์ออกไซด์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้วปริมาณก๊าซโลกร้อนในบรรยากาศโลกสูงเป็นประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้แค่หนึ่งสัปดาห์ก่อนการประชุมที่วอร์ซอร์ สหประชาชาติเตือนว่าการทำตามคำมั่นสัญญา “2 องศา” จะทำได้ยากมาก  
  
ผู้ แทนจากรัฐบาลต่างๆที่มาประชุมที่โปรแลนท์เข้าใจดีว่า ถ้าจะแก้ปัญหาโลกร้อนจะต้องจัดการกับผลประโยชน์ของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ และจะต้องมีการทุ่มเทงบประมาณรัฐบาลจำนวนมาก  ผลการวิจัยจำนวนมากมายชี้ให้เห็นว่าเราสามารถหันไปใช้พลังงานทางเลือก พลังงานสะอาดที่ไม่ผลิตก๊าซคาบอนไดซ์ออกไซด์ แต่การใช้พลังงานทางเลือกจะต้องอาศัยการลงทุนมหาศาล  ดังนั้นรัฐบาลต่างๆและบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ไม่ยอมทำ  รัฐบาลอังกฤษเป็นตัวอย่างที่ดี มีการตัดงบประมาณที่หนุนพลังงานทางเลือกเพื่อสนับสนุนการลงทุนน้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติ

บริษัทข้ามซาติที่ใหญ่ที่สุด 200 บริษัททั่วโลก ได้ลงทุนไป 22,000 ล้านบ้านบาทในปี 2012  เพื่อหาแหล่งน้ำมันและก๊าชธรรมชาติเพิ่มขึ้น ถ้าเงินจำนวนนี้ถูกนำมาลงทุนเพื่อผลิตพลังงานทางเลือก  เราจะเริ่มแก้ปัญหาโลกร้อนได้ แต่ตรรกะของทุนนิยมทำให้สิ่งตรงข้ามเกิดขึ้น  

แง่หนึ่งของระบบจักรวรรดินิยมคือการค้าขายที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศมหาอำนาจและประเทศอื่นๆ ความยากจนในประเทศด้อยพัฒนามีผลส่วนหนึ่งมาจาก  การกระทำของรัฐบาลในประเทศตะวันตก รัฐบาลมหาอำนาจต่างๆ ในโลก ยังตั้งหน้าตั้งตาที่จะสร้างอุปสรรคในการแก้ปัญหาโลกร้อนในการประชุมโลกร้อนที่วอร์ซอร์ 

การพัฒนาระบบอุตสาหกรรรมในประเทศยากจนไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นทางเก่าของประเทศตะวันตกในยุโรปหรืออเมริกา แต่การแสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้นในระบบทุนนิยมผลักดันประเทศเหล่านี้ให้ทำลายสิ่งแวดล้อมเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับประเทศที่พัฒนาแล้ว พายุไฮเยี่ยน เป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งที่เน้นว่าการท้าท้ายและเปลี่ยนแปลงระบบเพื่อสร้างสังคมนิยมเป็นภาระกิจเร่งด่วน เพราะสังคมนิยมเป็นระบบที่มีการพัฒนาภายใต้เหตุผลและการวางแผนด้วยระบบประชาธิปไตย เพื่อประโยชน์ของมนุษย์และโลกของเรา 

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2013/11/blog-post_24.html       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น