ผีอำมาตย์ vs. ผีทักษิณ
โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักของมวลชนนกหวีด บรรดาแกนนำเสื้อแดงทั้งหลายก็พากันป่าวประกาศว่าต้องมาร่วมกันแสดงพลังต้าน รัฐประหาร แหมจำกันไม่ได้หรือครับว่าเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนตอนที่กฎหมายนิรโทษกรรม เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ที่มีเนื้อหาให้ยกเว้นความผิดกับทหารด้วยก็เห็นเงียบกันเป็นเป่าสากกันอย่าง ถ้วนหน้า
ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ ในระหว่างที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล ได้มีความพยายามในการปฏิรูปกองทัพอะไรกันบ้างไหมครับก็ไม่เห็นมีสักแอะ เหมือนกัน พอตอนเพลี่ยงพล้ำจากการผลักดันเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมก็จะหันมาต้านรัฐ ประหารกันยกใหญ่ ราวกับว่าไม่เคยถีบหัวเสื้อแดงส่งมาเมื่อวันก่อนงั้นแหละ
ชอบกันนักให้ประชาชนมือเปล่าไปต้านรัฐประหาร เดี๋ยวพอมีปะทะกันยิงกันเชื่อได้เลยว่าไอ้ที่บาดเจ็บล้มตายไปก็บรรดามวลชน ผู้ต้องการปกป้องประชาธิปไตยทั้งนั้น ส่วนแกนนำทั้งหลายนั้นบาดเจ็บล้มตายไม่ได้หรอกครับ ท่านมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ในทางประวัติศาสตร์รออยู่ จึงจำเป็นต้องหลบรอดปลอดภัยไปก่อน
นอกจากนี้ผมมีความเชื่อส่วนตัวประการหนึ่งว่าที่คนไปร่วมชุมนุมที่ราช ดำเนินอย่างคับคั่งนั้น ไม่ใช่เพราะความสามารถของแกนนำนกหวีดเป็นสำคัญหรอก แต่เพราะการวางจังหวะก้าวที่แสนจะเบาปัญญาของฝ่ายแกนนำเสื้อแดงนั่นแหละที่ ช่วยออกบัตรเชิญให้
ไม่มีอะไรจะน่าสงสารไปกว่ามวลชนเสื้อแดงครับ นอกจากแกนนำซึ่งไม่เห็นหัวคนเสื้อแดงแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความเขลาอย่างมาก
พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเพราะฉะนั้นจึงควรไปร่วมกับทางฝ่ายแกนนำมวลชนนกหวีดนะครับ นั่นก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันอีกเหมือนกัน
ในตอนแรกที่เริ่มคัดค้านกฎหมายนิรโทษกรรมก็เป็นประเด็นที่มีความชอบธรรม อยู่ แต่ประทานโทษเถอะไม่รู้ว่าเพราะไม่เคยเห็นคนมากๆ แบบนี้มานานแล้วหรือเปล่า ก็เลยฮึกเหิมจนกระทั่งประเด็นของการเคลื่อนไหวมันเลยเถิดไปจนกู่ไม่กลับ
ขอโทษเถิดครับ ไอ้ที่บอกว่าจะล้มระบอบทักษิณนี่มันจะทำอย่างไรกันหรือ เห็นได้ยินว่ายุบสภาก็ยังไม่จบ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ลาออกก็ยังไม่ใช่ ต้องเป็นการปกครอง....อย่างสมบูรณ์ แบบที่ว่ามามันเป็นยังไงกันอยากฟังให้ชัดๆ
ถึงเวลานี้คงปฏิเสธถึงอิทธิพลของคุณทักษิณที่มีต่อพรรคเพื่อไทยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอำนาจนั้นจะเบ็ดเสร็จกระทั่งไม่มีพลังที่จะมาต้าน การล้มกฎหมายนิรโทษกรรมโดยการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางก็เป็น สิ่งที่แสดงให้เห็นได้แล้วว่าอย่างน้อยสังคมก็มีอำนาจกำกับให้นักการเมือง ต้องอยู่ในร่องในรอยบ้าง
ถ้ารัฐบาลหยิบเอากฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมาอีกหกเดือนข้างหน้าก็ออกมาชุมนุม กันใหม่ก็ได้ครับ และควรเป็นสิ่งที่กระทำอย่างยิ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าประชาชนมีความเข้มแข็งในการติดตามและจับตามองนักการ เมืองอยู่อย่างใกล้ชิด หรือจะจัดตั้งองค์กรขึ้นมาให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ยิ่งจะดีใหญ่
ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่เปิดทางให้มีการกำกับ ตรวจสอบ ซึ่งสัมพันธ์กับประชาชน แน่นอนว่าอาจมีนักการเมืองที่ไม่เข้าท่าแต่ไม่ได้หมายความว่าจึงควรโยนระบบ เลือกตั้งทิ้งไป แต่จะทำอย่างไรให้ระบบมีการตรวจสอบมากขึ้นหรือทำให้เกิดความรับผิดมากขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ช่วยกันคิดช่วยกันทำซึ่งอาจไม่ได้เสร็จภายในชั่ว ข้ามคืน
การประกาศว่าจะล้มระบอบทักษิณเพื่อสร้างสังคมใหม่ในชั่วข้ามคืนก็คล้ายๆ กับ “สงครามครั้งสุดท้าย” ที่ได้ยินมาสามสี่ปีก่อนไม่ใช่หรือ ตอนนี้คนประกาศสงครามก็ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ปล่อยให้มวลชนต้องซัดเซพเนจรมาอยู่ภายใต้การนำของคุณสุเทพแทน
ขอย้ำกับบรรดามวลชนนกหวีดผู้ฮึกเหิมทั้งหลายนะครับว่าไม่มีหรอก “ฟ้าสีทองผ่องอำไพในชั่วข้ามคืน” การสร้างสังคมซึ่งทำให้คนทั้งหลายต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้องใช้เวลาและ การทำความเข้าใจไม่น้อยครับ
ยิ่งการใช้อารยะขัดขืนของบรรดาแกนนำทั้งหลายที่พากันเข้าไปยึดหน่วย งานราชการก็ล้วนแต่เป็นการกระทำที่ต้องถูกตั้งคำถามไม่น้อยนะครับ ไอ้อารยะ ขัดขืนเขาใช้เพื่อเรียกร้องให้สังคมได้ตระหนักร่วมกัน ไม่ใช่การเข้าไปยึดโน่นยึดนี่ตามใจชอบ ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการปะทะหรือการใช้ความ รุนแรงเกิดขึ้น จึงควรเรียกว่าการขัดขืนแบบอนารยะและเห็นแก่ตัวมากกว่า
เช่นเดียวกันครับ เวลาบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นก็ล้วนแต่บรรดามวลชนเดินดิน คนธรรมดา ทั้งนั้นแหละ ไม่รู้เป็นไงไม่ค่อยเห็นแกนนำต้องมีอันเป็นไปเท่าไหร่
ถ้าจะสรุปให้สั้นๆ แล้ว ในทรรศนะของผม สำหรับการเคลื่อนไหวของแกนนำเสื้อแดงขณะนี้ไม่มีประเด็นชัดเจน ส่วนประเด็นของอีกฝ่ายก็ขยายออกจนเลอะเทอะ
สำหรับคนเสื้อแดงนั้นถูกสร้างความกลัวด้วยผีอำมาตย์ เมื่อไหร่ที่ปรากฏผู้ต่อต้านรัฐบาลก็จะมีข่าวรัฐประหารติดตามมาผ่านแกนนำ เสื้อแดง ส่วนมวลชนนกหวีดหรือส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากพันธมิตรฯ ก็ถูกปั่นหัวด้วยผีทักษิณว่าจะกินประเทศไทยจนหมดสิ้น จนทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องออกมาเดินบนท้องถนนรวมไปถึงการปะทะกันอย่าง รุนแรง
ผมไม่มีข้อเรียกร้องอะไรกับแกนนำทั้งสองฝ่ายครับ เพราะทั้งสองฝ่ายก็มีระดับของหิริโอตัปปะใกล้เคียงกัน จนยากจะชี้ชัดได้ว่าใครสูงหรือต่ำกว่ากัน แต่อยากจะให้มวลชนทั้งสองฝ่ายตั้งสติและใช้ปัญญาให้มากขึ้น อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกจูงจมูกไปจนกระทั่งไม่ลืมหูลืมตา สาเหตุที่บรรดาแกนนำทั้งสองฝ่ายทำอะไรได้แบบระห่ำๆ นั้นก็เพราะว่ามีคนจำนวนไม่น้อยไปเดินตาม จะเข้าร่วมกับการชุมนุมฝ่ายใดก็ได้แต่ต้องไม่ปล่อยให้ถูกผีอำมาตย์และผี ทักษิณครอบงำจนไร้สติ เพราะเอาเข้าจริงแล้วผีสองตัวอาจไม่ได้มีอยู่แต่เป็นเพียงเงารางๆ ที่ถูกเอามาใส่สีเพื่อประโยชน์ของแกนนำแต่เพียงอย่างเดียว
ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกันก็ได้ครับ ด้วยสติและปัญญาดีกว่าต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีกครั้งหนึ่ง ถ้าจะมีอะไรเป็นข้อเรียกร้องของผมก็คือ บรรดามวลชนทั้งสองฝ่ายลองกลับบ้านไปดื่มน้ำเย็นๆ เลิกฟังข่าวสารที่รับฟังอยู่ทุกนาที แล้วค่อยๆ ไตร่ตรองว่าจะสร้างสังคมให้ดีขึ้นโดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อและน้ำตากัน อย่างไร
สังคมไทยเรามีวีรชนที่ถูกลืมและถูกทอดทิ้งมามากแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพิ่มอีกหรอกครับ
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2013/11/49983
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น