บทบาท การเมือง อาจารย์ นักวิชาการ ก้าวหน้า ถอยหลัง
นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ "มติชน" เมื่อต้นสัปดาห์
ถึงสถานการณ์การเมืองและการชุมนุมที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ว่า
"ถ้าย้อนกลับไปดูวันนี้เราไม่ได้ก้าวเกินกว่าปัญหาในปี 2549 เลย
"ที่เสียดายคือมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นคนกลาง ดีกว่าให้ทหารเป็นคนกลางในการเชื่อมรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล
"ผม มีความฝันอยู่เสมอว่า ถ้ามีวิกฤตในสังคมไทยอยากเห็นจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ นิด้า หรือมหิดล เปิดเวทีเชื่อมคู่ขัดแย้งทางการเมืองให้หันกลับมาคุยกันอย่างมีสติ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ
"วันนี้การที่ทุกคนโยนภาระให้ทหารก็เพราะทุกคนต้องการหาคนกลาง หรืออยากหาผู้อำนวยความสะดวก เพื่อมีเวทีกลางให้เกิดการพูดคุย
"เมื่อมหาวิทยาลัยปิดประตูเลือกข้าง ความหวังจึงไปอยู่กับทหาร"
เป็นข้อวิเคราะห์ที่ "จี๊ด" เข้าไปในใจนักวิชาการ
ถ้ายังมีความเป็นนักวิชาการหลงเหลืออยู่
เพราะตั้งแต่เริ่มต้นการชุมนุมที่อำนวยการโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่นาน
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งหลายก็แสดง "จุดยืน" ทางการเมืองชัดเจน
ชัดเจน ที่สุดก็คือในวันที่ 24 พฤศจิกายน เมื่อเป็นทั้งตัวตั้งตัวตีและใช้สรรพกำลังทุกอย่างของมหาวิทยาลัย เอื้อให้ศิษย์ปัจจุบัน ศิษย์เก่า และบุคลากรของมหาวิทยาลัย ร่วมเดินขบวนใหญ่ตามคำเรียกร้องของนายสุเทพ
ก่อนจะออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมหน่วยงานของรัฐและกลไกอื่นของรัฐให้แก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี
ตามด้วยแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ในวันที่ 29 พฤศจิกายนเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาโดยเร็ว
และให้มีการเจรจาระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้มีข้อยุติเบื้องต้นก่อนยุบสภา
รวมทั้งประเด็นการบริหารประเทศในระหว่างยุบสภา
ตามมาด้วยประกาศฉบับที่ 4 ในวันที่ 2 ธันวาคม
ที่เรียกร้องหา "รัฐบาลคนกลาง"
เป็นเสียงเดียวกัน เป็นท่าทีเดียวกันกับนักวิชาการที่ขึ้นเวทีชุมนุมของนายสุเทพ อย่าง นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีนิด้า ที่แถลงเสียงดังฟังชัดว่า
ระบบการเลือกตั้ง 1 คน 1 เสียง ใช้ไม่ได้ผลในประเทศไทย
ควบคู่ไปกันนั้น โลกไซเบอร์ก็เผยแพร่ทรรศนะของ นายเสรี วงษ์มณฑา อดีตคณบดีวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ที่พูดว่า 300,000 เสียงของคนกรุงเทพฯที่มีคุณภาพ ดีกว่า 15 ล้านเสียงของคนที่ไม่มีคุณภาพ
อันเป็นคำให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ปี 2554 หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนกว่า 15 ล้านเสียงไม่นาน
และล่าสุด นายเสรีก็จะขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ประกาศไม่ให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
แต่มิใช่จะมีเฉพาะนักวิชาการฝั่งม็อบเท่านั้นดอก
การ เกิดขึ้นของสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) ที่พัฒนาจากการรวมตัวของ 135 อาจารย์ ผู้คัดค้านการที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยนำชื่อของมหาวิทยาลัยไปใช้โดยไม่สอบ ถามความเห็นจากประชาคมมหาวิทยาลัย เพราะจุดยืนที่เอียงกระเท่เร่ทางการเมือง
ก็น่าสนใจยิ่ง
ไม่ใช่เพียงเพราะจะมี "มวลมหาประชาชน" เข้ามา "กดไลค์" ในเฟซบุ๊ก กว่า 200,000 คนและยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาไม่กี่วัน
แต่ยังเพราะจุดยืนและน้ำหนักของข้อเสนอในการรักษาและขยายพื้นที่ "สิทธิเสรีภาพ" และ "ประชาธิปไตย" นั่นหรอก
ที่โดนใจคนอีกเป็นจำนวนไม่น้อย
จุดยืนของ สปป.ที่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของนักวิชาการและประชาชนหลากหลายอาชีพ อาทิ นาย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, นายเกษียร เตชะพีระ, นางพวงทอง ภวัครพันธุ์, นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, นายประจักษ์ ก้องกีรติ ฯลฯ นั้นชัดเจนยิ่ง
ว่าทางออกจากวิกฤตประเทศอย่างสันติตามหลักกติกาสากลคือ
การเลือกตั้ง
ในสงครามที่จะต้องช่วงชิง "การสนับสนุนของมวลชน" ลำพังจุดยืนและท่าทีของนายสุเทพก็หลุดไปไกลสุดกู่อยู่แล้ว
ยิ่งมีลูกคู่คอยอธิบายขยายความ มีลูกขุนพลอยพยัก ก็ยิ่งไปกันใหญ่
จึงกลับมาที่คำถามข้างต้นของนายสุรชาติว่า
ทำไมมหาวิทยาลัยเป็นหลักความคิดไม่ได้ ทำไมบางส่วนก้าวหน้าทันโลก
แต่บางส่วนสมัครใจเดินหน้าเข้าคลอง?
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1387439798&grpid=&catid=
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น