“ธงชาติ”
บางคนอาจคิดว่าธงไตรรงค์ของรัฐไทย แดง ขาว น้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นไทย” และเขาอาจถูกในระดับหนึ่ง
แต่สิ่งที่เราต้องชี้แจงแต่แรกคือ
ชนชั้นปกครองไทยในยุคที่กำลังสร้างชาติเป็นครั้งแรก หรือยุคการเข้ามาของทุนนิยมและการล่าอาณานิคม
มักจะลอกแบบทุกอย่างจากมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ
ดังนั้นเราคงไม่แปลกใจที่สีธงไตรรงค์นั้นลอกแบบมาจากอังกฤษ “เหมือนสำเนาถูกต้อง”
แม้แต่เพลงชาติในยุคนั้นของไทยก็ไม่มี เลยเล่นเพลงชาติอังกฤษไปก่อนที่จะหาเพลงของชาติไทย
ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่อังกฤษจำนวนมากงงไปหมด
ถ้า
มองจากมุมมองนี้ เมื่อร้อยสี่สิบกว่าปีมาก่อน
ธงชาติไทย
แทนที่จะเป็นสัญลักษณ์ของการที่ไทยเป็นชาติอิสระภายใต้กษัตริย์กรุงเทพฯ
กลับเป็นสัญลักษณ์ของการที่รัฐไทยก้มหัวให้มหาอำนาจตะวันตกแทน
และลอกแบบทั้งธงชาติ การแต่งกาย ระบบกฏหมาย
และการจัดการกองทัพจากประเทศต่างๆ
ในยุโรปอีกด้วย
ในการสร้างชาติทุนนิยมของไทยเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งผ่านการสร้างรัฐรวมศูนย์
เราทราบจากงานเขียนและงานวิจัยของ อ. กุลลดา เกษบุญชู-มีด ว่ารัชกาลที่๕ ต้องเอาชนะคู่แข่งอย่างน้อยสองกลุ่ม
เพื่อขึ้นมาเป็นกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และรัชกาลที่ ๕
อาศัยอำนาจของอังกฤษเพื่อช่วยให้เอาชนะคู่แข่งดังกล่าวด้วย พูดได้ว่าอังกฤษเป็นผู้อุปถัมภ์สำคัญของกษัตริย์กรุงเทพฯ
ในยุคนั้น
นอกจากนี้รัฐบาลกษัตริย์ในอดีตได้ยอมจำนนเซ็นสัญญากับตะวันตกที่ไม่เป็นธรรมต่อรัฐไทยอีกด้วย
ข้อมูลนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมหลังการปฏิวัติ
๒๔๗๕ เมื่อ อ.ปรีดี พนมยงค์ ได้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ระหว่างพ.ศ.
๒๔๘๐-๒๔๘๑ ประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจากับประเทศมหาอำนาจตะวันตก
เพื่อแก้ไขให้ประเทศหลุดพ้นจากการถูกบีบบังคับข้อพันธะที่ไม่เป็นธรรม ที่ทำให้ไทยอยู่ใต้อิทธิพลของประเทศเหล่านั้น
พูดง่ายๆ การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ล้มอำนาจกษัตริย์
ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ “กู้ชาติ” รัฐทุนนิยมไทยจากอิทธิพลจักรวรรดินิยม
อย่างไรก็ตามเวลาเราเอ่ยถึง “รัฐ” หรือ
“ชาติ” เราชาวมาร์คซิสต์จะต้องเน้นว่ามันเป็นเครื่องมือและสถาบันทางชนชั้น มาร์คซ์
เองเกิลส์ และเลนิน เคยอธิบายว่ารัฐไม่เคยเป็นกลาง
ไม่เคยเป็นเครื่องมือที่คนชั้นล่างหรือกรรมาชีพใช้เองได้ เพราะเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการกดขี่คนส่วนใหญ่
และ “ชาติ” ก็ไม่ได้ออกแบบมาโดยประชาชนหรือเพื่อประชาชน
ชาติไทยถูกสร้างขึ้นผ่านการนำปาตานี ลานา และบางส่วนของลาวมาเป็น “อาณานิคม”
ของกรุงเทพฯ การสามัคคีชาติรวมถึงภาษาด้วย
จึงเป็นการสามัคคีภายใต้เงื่อนไขของผู้ปกครองกรุงเทพฯ ในทุกยุคทุกสมัย
“อำนาจอธิปไตย” ไม่ได้อยู่ที่คนไทยทั้งปวง
ในสมัยที่มีการเลือกตั้งยังมีความเหลื่อมล้ำทางอำนาจสูง
ในสมัยเผด็จการทหารไม่ต้องพูดเลย ยิ่งกว่านั้นประชาชนไม่ได้เป็น “เจ้าของ”
ทรัพยากร ที่ดิน และมูลค่าที่คนไทยผลิตขึ้นอีกด้วย
เพราะการเป็นเจ้าของในสิ่งเหล่านั้นกระจุกอยู่ที่นายทุน
ดังนั้น “รัฐไทย” และ “ชาติไทย”
ไม่ใช่ของเราผู้เป็นประชาชนส่วนใหญ่ มันเป็นของ “เขา” ชนชั้นปกครองนั้นเอง
เวลาเขาให้เรา “รักชาติ” เขาไม่ต้องการให้เรารักประชาชน และชนชั้นปกครองไทยเองเขาไม่เคยรักประชาชน
เพราะพร้อมจะลงมือเข่นฆ่าเสมอ ไม่ว่าจะ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕, ตากใบ,
หรือราชประสงค์ ไอ้นิยายว่า “คนไทยจะไม่ฆ่าคนไทยด้วยกัน”
เป็นแค่นิยายหลอกเด็กของชนชั้นปกครองไทยเท่านั้น
แม้แต่พรรคการเมืองกระแสหลักก็ล้วนแต่เป็นพรรคของนายทุน
ไม่ว่าจะมีอดีตนายทหารร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ และถ้าชื่อพรรคยิ่งมีคำว่า “ประชา” หรืออะไร
“ไทยๆ” มากเท่าไร เรารู้ทันทีว่าไม่ใช่พรรคของประชาชนส่วนใหญ่แน่นอน
เวลาเราจะ “รักชาติ” ชาติของเราคือประชาชน
การรักชาติจึงควรแปลว่าเราต้องร่วมกันสร้างรัฐสวัสดิการและฐานะความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมและเจริญสำหรับประชาชนทุกคน
แต่ชนชั้นปกครองไทยไม่มองแบบนั้น เวลาเขาให้เราร้องเพลงชาติ ที่มีเนื้อหาว่า
“เราพร้อมจะตายเพื่อชาติ” มันหมายความว่าเราต้องพร้อมจะตายเพื่อชนชั้นปกครอง
เวลาเขาบังคับให้ยืนเคารพธงชาติ มันหมายความว่าเราต้องยืนเคารพระบบของเขา
สถาบันของเขา
เลิกร้องเพลงชาติ และเลิกยืนเคารพธงชาติเถิด
หันมารักและเคารพประชาชนและประชาธิปไตยแทนดีกว่า
ส่วนธงนั้น ในอนาคตคงไม่ต้องใช้
เพราะเราจะเชิดชูและฉลองความหลากหลายของประชาชนที่อาศัยในชุมชนต่างๆ
ท่ามกลางวัฒนธรรมของตนเอง ไม่ต้องเสียดายหรอก มันแค่เศษผ้าเท่านั้น
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น