หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

“ธงชาติ”

“ธงชาติ” 


 
 

บางคนอาจคิดว่าธงไตรรงค์ของรัฐไทย แดง ขาว น้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นไทย”  และเขาอาจถูกในระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่เราต้องชี้แจงแต่แรกคือ ชนชั้นปกครองไทยในยุคที่กำลังสร้างชาติเป็นครั้งแรก หรือยุคการเข้ามาของทุนนิยมและการล่าอาณานิคม มักจะลอกแบบทุกอย่างจากมหาอำนาจตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ดังนั้นเราคงไม่แปลกใจที่สีธงไตรรงค์นั้นลอกแบบมาจากอังกฤษ “เหมือนสำเนาถูกต้อง” แม้แต่เพลงชาติในยุคนั้นของไทยก็ไม่มี เลยเล่นเพลงชาติอังกฤษไปก่อนที่จะหาเพลงของชาติไทย ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่อังกฤษจำนวนมากงงไปหมด

ถ้า มองจากมุมมองนี้ เมื่อร้อยสี่สิบกว่าปีมาก่อน ธงชาติไทย แทนที่จะเป็นสัญลักษณ์ของการที่ไทยเป็นชาติอิสระภายใต้กษัตริย์กรุงเทพฯ กลับเป็นสัญลักษณ์ของการที่รัฐไทยก้มหัวให้มหาอำนาจตะวันตกแทน และลอกแบบทั้งธงชาติ การแต่งกาย ระบบกฏหมาย และการจัดการกองทัพจากประเทศต่างๆ ในยุโรปอีกด้วย

ในการสร้างชาติทุนนิยมของไทยเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งผ่านการสร้างรัฐรวมศูนย์ เราทราบจากงานเขียนและงานวิจัยของ อ. กุลลดา เกษบุญชู-มีด ว่ารัชกาลที่๕ ต้องเอาชนะคู่แข่งอย่างน้อยสองกลุ่ม เพื่อขึ้นมาเป็นกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และรัชกาลที่ ๕ อาศัยอำนาจของอังกฤษเพื่อช่วยให้เอาชนะคู่แข่งดังกล่าวด้วย พูดได้ว่าอังกฤษเป็นผู้อุปถัมภ์สำคัญของกษัตริย์กรุงเทพฯ ในยุคนั้น

นอกจากนี้รัฐบาลกษัตริย์ในอดีตได้ยอมจำนนเซ็นสัญญากับตะวันตกที่ไม่เป็นธรรมต่อรัฐไทยอีกด้วย

ข้อมูลนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เมื่อ อ.ปรีดี พนมยงค์ ได้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ระหว่างพ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ ประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจากับประเทศมหาอำนาจตะวันตก เพื่อแก้ไขให้ประเทศหลุดพ้นจากการถูกบีบบังคับข้อพันธะที่ไม่เป็นธรรม ที่ทำให้ไทยอยู่ใต้อิทธิพลของประเทศเหล่านั้น

พูดง่ายๆ การปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ล้มอำนาจกษัตริย์ ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ “กู้ชาติ” รัฐทุนนิยมไทยจากอิทธิพลจักรวรรดินิยม


อย่างไรก็ตามเวลาเราเอ่ยถึง “รัฐ” หรือ “ชาติ” เราชาวมาร์คซิสต์จะต้องเน้นว่ามันเป็นเครื่องมือและสถาบันทางชนชั้น มาร์คซ์ เองเกิลส์ และเลนิน เคยอธิบายว่ารัฐไม่เคยเป็นกลาง ไม่เคยเป็นเครื่องมือที่คนชั้นล่างหรือกรรมาชีพใช้เองได้ เพราะเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการกดขี่คนส่วนใหญ่ และ “ชาติ” ก็ไม่ได้ออกแบบมาโดยประชาชนหรือเพื่อประชาชน ชาติไทยถูกสร้างขึ้นผ่านการนำปาตานี ลานา และบางส่วนของลาวมาเป็น “อาณานิคม” ของกรุงเทพฯ การสามัคคีชาติรวมถึงภาษาด้วย จึงเป็นการสามัคคีภายใต้เงื่อนไขของผู้ปกครองกรุงเทพฯ ในทุกยุคทุกสมัย “อำนาจอธิปไตย” ไม่ได้อยู่ที่คนไทยทั้งปวง ในสมัยที่มีการเลือกตั้งยังมีความเหลื่อมล้ำทางอำนาจสูง ในสมัยเผด็จการทหารไม่ต้องพูดเลย ยิ่งกว่านั้นประชาชนไม่ได้เป็น “เจ้าของ” ทรัพยากร ที่ดิน และมูลค่าที่คนไทยผลิตขึ้นอีกด้วย เพราะการเป็นเจ้าของในสิ่งเหล่านั้นกระจุกอยู่ที่นายทุน
 
ดังนั้น “รัฐไทย” และ “ชาติไทย” ไม่ใช่ของเราผู้เป็นประชาชนส่วนใหญ่ มันเป็นของ “เขา” ชนชั้นปกครองนั้นเอง เวลาเขาให้เรา “รักชาติ” เขาไม่ต้องการให้เรารักประชาชน และชนชั้นปกครองไทยเองเขาไม่เคยรักประชาชน เพราะพร้อมจะลงมือเข่นฆ่าเสมอ ไม่ว่าจะ ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕, ตากใบ, หรือราชประสงค์ ไอ้นิยายว่า “คนไทยจะไม่ฆ่าคนไทยด้วยกัน” เป็นแค่นิยายหลอกเด็กของชนชั้นปกครองไทยเท่านั้น 
     
แม้แต่พรรคการเมืองกระแสหลักก็ล้วนแต่เป็นพรรคของนายทุน ไม่ว่าจะมีอดีตนายทหารร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ และถ้าชื่อพรรคยิ่งมีคำว่า “ประชา” หรืออะไร “ไทยๆ” มากเท่าไร เรารู้ทันทีว่าไม่ใช่พรรคของประชาชนส่วนใหญ่แน่นอน 

เวลาเราจะ “รักชาติ” ชาติของเราคือประชาชน การรักชาติจึงควรแปลว่าเราต้องร่วมกันสร้างรัฐสวัสดิการและฐานะความเป็นอยู่ที่เท่าเทียมและเจริญสำหรับประชาชนทุกคน แต่ชนชั้นปกครองไทยไม่มองแบบนั้น เวลาเขาให้เราร้องเพลงชาติ ที่มีเนื้อหาว่า “เราพร้อมจะตายเพื่อชาติ” มันหมายความว่าเราต้องพร้อมจะตายเพื่อชนชั้นปกครอง เวลาเขาบังคับให้ยืนเคารพธงชาติ มันหมายความว่าเราต้องยืนเคารพระบบของเขา สถาบันของเขา

เลิกร้องเพลงชาติ และเลิกยืนเคารพธงชาติเถิด หันมารักและเคารพประชาชนและประชาธิปไตยแทนดีกว่า

ส่วนธงนั้น ในอนาคตคงไม่ต้องใช้ เพราะเราจะเชิดชูและฉลองความหลากหลายของประชาชนที่อาศัยในชุมชนต่างๆ ท่ามกลางวัฒนธรรมของตนเอง ไม่ต้องเสียดายหรอก มันแค่เศษผ้าเท่านั้น

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/01/blog-post_19.html      

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น