ความล้มเหลวของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
โดย พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
“โลกวันนี้วันสุข”ฉบับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2557
เป้าหมายเฉพาะหน้าของพวกจารีตนิยมคือ
การขัดขวางและบ่อนทำลายการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 มกราคม 2557
และการเลือกตั้งใหญ่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
หากแม้นพวกเผด็จการไม่ สามารถสกัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ได้ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำต้องจัดการเลือกตั้งในวันดังกล่าวไปตามที่กฎหมายกำหนด พวกเขาก็จะสร้างความปั่นป่วนเพื่อบ่อนทำลายให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างพิกล พิการที่สุด
เป็นที่แน่นอนว่า ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ การเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนบนและในกรุงเทพฯจะถูกก่อกวนจนไม่ สามารถดำเนินไปได้ เป็นผลให้ไม่สามารถเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพื้นที่ดังกล่าว ผลต่อเนื่องก็คือ สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะมีจำนวนสมาชิกไม่ถึงร้อยละ 95 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งก็จะไม่สามารถเปิดประชุมสภาครั้งแรกเพื่อเลือกประธานสภาและรองประธานสภา ตลอดจนไม่สามารถเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้
หากแม้นพวกเผด็จการไม่ สามารถสกัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ได้ และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำต้องจัดการเลือกตั้งในวันดังกล่าวไปตามที่กฎหมายกำหนด พวกเขาก็จะสร้างความปั่นป่วนเพื่อบ่อนทำลายให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างพิกล พิการที่สุด
เป็นที่แน่นอนว่า ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ การเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ตอนบนและในกรุงเทพฯจะถูกก่อกวนจนไม่ สามารถดำเนินไปได้ เป็นผลให้ไม่สามารถเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพื้นที่ดังกล่าว ผลต่อเนื่องก็คือ สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะมีจำนวนสมาชิกไม่ถึงร้อยละ 95 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งก็จะไม่สามารถเปิดประชุมสภาครั้งแรกเพื่อเลือกประธานสภาและรองประธานสภา ตลอดจนไม่สามารถเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้
แม้ว่า นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐมนตรีจะยังคงรักษาการต่อไปได้เรื่อย ๆ และ กกต.จะต้องจัดการเลือกตั้งให้ครบถ้วนทุกเขตภายใน 180 วัน แต่ก็เป็นที่แน่นอนว่า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และสมาชิกวุฒิสภากลุ่มสนับสนุนเผด็จการจะอาศัยกระบวน การตุลาการ ฟ้องร้องให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะ เป็นผลให้นายกรัฐมนตรีจะต้องออกพระราชกฤษฎีกาฉบับใหม่เพื่อให้มีการเลือก ตั้งทั่วไปอีกครั้ง
ทั้งหมดนี้จะเป็นการเปิดช่องเวลาอย่างเหลือเฟือ ให้กลุ่มจารีตนิยมสามารถใช้องค์กรตุลาการและทหาร โค่นล้มนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ในที่สุด
ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อ ไทยแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยคิดที่จะต่อสู้กับกลุ่มจารีตนิยมอย่างจริงจัง ยังคงเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่จะได้รับความเมตตาและประนีประนอมกับคนพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยรับรู้ถึงบทเรียนความล้มเหลวในอดีต นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตรจึงดำเนินแนวทางที่ไม่ต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น รอคอย “สัญญาณบวก” จากพวกจารีตนิยมและหวังผลจากคะแนนเสียงของประชาชนในการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เท่านั้น
แนวทางของนายกรัฐมนตรีก็คือ ดำเนินการเลือกตั้งทั่วไปให้ลุล่วง และหากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ก็จะรักษาการไปเรื่อย ๆ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ นอกนั้น ก็เพียงแต่นั่งรอคอยให้ตุลาการใช้กฎหมายเชือด หรือรอให้กลุ่มทหารใช้กำลังอาวุธเข้ายึดอำนาจเท่านั้น แต่จะไม่ดำเนินมาตรการใด ๆ เพื่อต่อต้านปฏิบัติการทั้งของเผด็จการและของกลุ่มมวลชน กปปส. จะไม่ต่อต้านแม้แต่การเคลื่อนไหวบ่อนทำลายการเลือกตั้งของกลุ่ม กปปส.ด้วยซ้ำ
สัญญาณที่ชัดเจนในท่าทีของนายกรัฐมนตรีก็คือ การเลือกตั้งล่วงหน้า 26 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ก็ได้ประกาศ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งก็เป็นการประกาศอย่างจำใจเสียมิได้ตามคำขอซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเจ้าหน้าที่ ฝ่ายความมั่นคง แต่ก็ยังคงกำชับมิให้เจ้าหน้าที่เข้าขัดขวางการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ผลก็คือ ความล้มเหลวในการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตกรุงเทพฯ จากการที่รัฐบาลปล่อยให้กลุ่มกปปส.สามารถเคลื่อนไหวขัดขวางทำลายการเลือก ตั้งได้อย่างอิสระเสรี โดยเจ้าหน้าที่ไม่กล้าแทรกแซงทั้ง ๆ ที่อยู่ภายใต้พรก.ฉุกเฉิน
สิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งเป็นสิทธิขั้น มูลฐานของประชาชน เป็นเครื่องชี้ถึงความเป็นคนที่เสมอภาคของพลเมือง ยิ่งกว่านั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ชะตากรรมของนายกรัฐมนตรี ตระกูลชินวัตร และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยขึ้นอยู่กับการที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้ มากที่สุด รัฐบาลจึงมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองการใช้สิทธิ์นั้นอย่างเต็มที่ แต่ปรากฏว่า ในวันที่ 26 มกราคม นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกลับนิ่งเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจที่จะใช้อำนาจที่ชอบธรรมตาม พรก.ฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองประชาชนที่กำลังออกมาใช้สิทธิ์เพื่อปกป้อง ประชาธิปไตยแต่อย่างใด ประชาชนกลับต้องเสี่ยงอันตราย ฝ่าดงมือเท้าและอาวุธของกลุ่มอันธพาลเข้าไปใช้สิทธิ์ในหน่วยเลือกตั้งกันตาม ยถากรรม โดยปราศจากการปกป้องใด ๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐ!
นี่คือความล้มเหลวในภาวะผู้นำและความบกพร่องในหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลอย่างมิอาจปฏิเสธได้!
นับแต่นี้ไปจึงเป็นเพียงการนับถอยหลังนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล รอวันถูกเชือดโดยตุลาการและทหารเท่านั้น
ประชาชน ผู้รักประชาธิปไตยจะต้องเตรียมพร้อมกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เมื่อกลุ่มเผด็จการสามารถจัดตั้งสภานิติบัญญัติแต่งตั้งและนายกรัฐมนตรีแต่ง ตั้งได้สำเร็จ ปกครองประเทศไทยด้วยระบอบเผด็จการไปตราบเท่าที่พวกเขาต้องการ รวมทั้งดำเนินมาตรการกดขี่ปราบปรามประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อถอนรากถอนโคนเครือข่ายตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย ตลอดจนเครือข่ายแกนนำมวลชนคนเสื้อแดงทั่วประเทศ
แต่พวกเผด็จการก็จะ ตกอยู่ในสถานะที่โดดเดี่ยวอย่างยิ่ง เพราะประชาชนไทยส่วนข้างมากต้องการประชาธิปไตย พวกเขาจะไม่อดทนอยู่ภายใต้การปกครองของพวกเผด็จการและจะเคลื่อนไหวต่อต้าน ด้วยวิธีการและเครื่องมือทุกอย่างที่เขาจะแสวงหามาได้
รัฐบาลเผด็จ การจะตกอยู่ในฐานะโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก เมื่อบรรดารัฐบาลประเทศอารยะที่เป็นประชาธิปไตยจะปฏิเสธการสังฆกรรมกับ รัฐบาลเผด็จการดังกล่าว ความไม่มั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลเผด็จการทั้งในประเทศและต่างประเทศจะทำ ให้กระแสการค้าและการลงทุนประสบความเสียหาย นักลงทุนระหว่างประเทศปัจจุบันมีทางเลือกมากมายในตลาดเงินตลาดทุนของโลกและ ในการเลือกฐานการผลิตสินค้า สถานะทางการค้าและการลงทุนของประเทศไทยจะเสื่อมทรุด
ประวัติ ศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศอารยะคือบทเรียนสำคัญ แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นคือ การต่อต้านของประชาชนไทยต่อระบอบเผด็จการจะพัฒนาจากเล็กสู่ใหญ่ จากอ่อนสู่แข็ง จากสันติสู่รุนแรง ก็ในเมื่อหนทางการต่อสู้อย่างสันติโดยผ่านการเมืองแบบเลือกตั้งที่เปิดเผย และถูกกฎหมายไม่สามารถกระทำได้อีกต่อไป ประชาชนก็จะต้องหาทางออกอื่นที่ไม่ใช่กระบวนของพรรคการเมืองในระบบเลือกตั้ง
หาก การต่อสู้นี้เป็นไปในรูปของการใช้กำลังรุนแรง สิ่งที่พวกเผด็จการจะเผชิญคือ การก่อความไม่สงบและวินาศกรรมโดยทั่วไป และถ้าหากกองทัพไม่มีเอกภาพ เกิดการแบ่งฝ่ายขึ้น ความไม่สงบก็จะพัฒนาไปเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ
และ ถ้า “สงครามกลางเมือง” ดังกล่าวยุติลงได้อย่างรวดเร็วด้วยชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตย รัฐไทยที่เป็นเอกภาพก็อาจจะยังคงรักษาไว้ได้ แต่ถ้าสงครามนั้นยืดเยื้อออกไปด้วยความเสียหายมหาศาล ความแตกแยกออกเป็นสองเสี่ยงของรัฐไทยก็จะมิอาจ
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น