รากฐานความรุนแรงคือชนชั้นปกครองไทย
การปาระเบิดใส่ประชาชนหรือกราดยิงคนธรรมดา
ไม่ว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ เป็นเรื่องแย่
และเป็นสิ่งที่ไม่ก้าวหน้าและจะไม่นำไปสู่ประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพ การฆ่าเด็กก็เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
เราไม่สามารถทราบว่าใครเป็นคนทำ
อาจเป็นฝ่ายเผด็จการที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อหวังรัฐประหาร
หรือเพื่อให้ยิ่งลักษณ์ลาออก
หรืออาจเป็นคนเสื้อแดงหัวรุนแรงที่รับไม่ได้กับความรุนแรงของม็อบสุเทพที่ลอยนวลเสมอ
แต่เราต้องมองภาพกว้าง เพราะเราจะเห็นว่าความรุนแรงในวิกฤตการเมืองรอบนี้
เริ่มเมื่อทหารนำอาวุธสงครามออกมาก่อรัฐประหารและล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี
๔๙ หลังจากนั้นรัฐบาลทหารของอภิสิทธิ์และนายพลอย่างประยุทธิ์
ก็ออกมาเข่นฆ่าเสื้อแดงเก้าสิบศพเพราะแค่เรียกร้องประชาธิปไตย และหนึ่งในนั้นเป็นเด็ก
หลังจากนั้นชนชั้นปกครองก็ถือหางม็อบสุเทพที่ก่อความรุนแรงต่อผู้ที่ต้องการไปเลือกตั้ง
มีการถือปืนสงครามบนท้องถนนอย่างโจ่งแจ้ง และมีการใช้ปืนเหล่านั้นกราดยิงประชาชนที่ต้องการไปเลือกตั้งด้วย
แต่ไม่มีใครถูกจับหรือถูกลงโทษ
พวกที่คอยเชียร์ทหารให้ทำรัฐประหาร สนับสนุนพันธมิตรฯ
เงียบเฉยต่อการเข่นฆ่าเสื้อแดง และสนับสนุนหรือกึ่งสนับสนุนม็อบอันธพาลของสุเทพ
ตอนนี้ออกมาโวยวายร้องไห้ด้วยน้ำตาเทียมเรื่องความรุนแรง แต่เขาเป็นคนช่วยเพาะเลี้ยงความรุนแรงในสังคมไทยแต่แรก
เราต้องไม่ลืมด้วยว่าในภาคใต้ ในแคว้นปาตานี มีการกราดยิงพลเรือนรวมถึงเด็ก
จนเสียชีวิตไปหลายราย
และเราคาดเดาได้ว่าบ่อยครั้งก็เป็นฝีมือของหน่วยรัฐที่ไม่แต่งเครื่องแบบหรืออาจพยายามป้ายสีขบวนการปลดแอกอีกด้วย
รัฐไทยก่ออาชญากรรมต่อประชาชนตั้งแต่ ๑๔ ตุลา, ๖ตุลา, พฤษภา ๓๕, ราชประสงค์
๕๓ และตากใบกับสงครามยาเสพติดสมัยทักษิณ ไม่มีใครเคยถูกลงโทษเลย
สรุปแล้วรัฐไทยสนับสนุนและสร้างบรรยากาศความรุนแรงทางการเมืองมาตลอด
ทางออกที่จะห้ามความรุนแรง คือการขยายพื้นที่ประชาธิปไตยและการสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน
โดยการนำอาชญากรรัฐและคนใหญ่คนโตมาขึ้นศาลและลงโทษ เพราะถ้าไม่จัดการกับหัวหน้าโจร
การไปไล่จับลูกน้องโจรคงไม่มีผลอะไรเลยในการลดความรุนแรง
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น