ขอเชิญเข้าร่วม เสวนาวิชาการ "เพราะธรรมศาสตร์ สอนให้ฉันรักประชาชน" ?
เสวนาวิชาการ
"เพราะธรรมศาสตร์ สอนให้ฉันรักประชาชน" ?
พบกับ
รศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
อ.เอกชัย ไชยนุวัติ
อ.ศุภวิทย์ ถาวรบุตร
อ.วิโรจน์ อาลี
ดำเนินรายการโดย เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี
วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม 2557 13:00-16:00 น.
ณ ห้องประกอบ หุตะสิงห์ ตึกอเนกประสงค์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีไม่เกิด!
ความยุติธรรมไม่มี ความสามัคคีไม่เกิด!
ยกฟ้อง "มาร์ค-สุเทพ" สั่งฆ่าประชาชนปี 53 ส่งผลให้คดี 99 ศพในศาลอาญายุติทั้งหมด !
ศาลอาญายกฟ้องคดี อภิสิทธิ์-สุเทพ สลายม็อบปี 53.....ก็แน่นอน หากนำขึ้นศาลก็ต้องนำประยุท ธ์มือเปื้อนเลือดขึ้นด้วย
http://www.khaosod.co.th/ view_newsonline.php?newsid= TVRRd09URTVOemN6TUE9PQ%3D% 3D&subcatid
ยกฟ้อง "มาร์ค-สุเทพ" สั่งฆ่าประชาชนปี 53 ส่งผลให้คดี 99 ศพในศาลอาญายุติทั้งหมด !
ศาลอาญายกฟ้องคดี อภิสิทธิ์-สุเทพ สลายม็อบปี 53.....ก็แน่นอน หากนำขึ้นศาลก็ต้องนำประยุท
http://www.khaosod.co.th/
วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ประยุทธ์ริเริ่มการใช้ "กษัตริย์ที่ไม่มีตัวตน”
ประยุทธ์ริเริ่มการใช้ "กษัตริย์ที่ไม่มีตัวตน”
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
กษัตริย์ ไทยไม่เคยมีอำนาจสั่งการใคร และเป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาความชอบธรรมของทหารและข้าราชการกับนายทุนมา ตั้งแต่สมัยที่สฤษดิ์ส่งเสริมให้นายภูมิพลมีบทบาทในสังคม ตั้งแต่นั้นมากษัตริย์ไทยเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าไรก็ยิ่งใช้งานได้มากขึ้น ชนชั้นปกครองไทยใช้ความรุนแรงและการปราบปรามผู้ที่คิดต่าง เพื่อกล่อมเกลาให้พลเมืองต้องเชื่อว่ากษัตริย์มีอำนาจสูงสุดและแตะต้องไม่ ได้ แต่นายภูมิพลไม่เคยคิดอะไรเอง และไม่เคยกล้าตัดสินใจอะไรเลยเกี่ยวกับสังคม แค่นั่งกอบโกยความร่ำรวยและดูคนหมอบคลานต่อตนเองก็พอ เผด็จการ หรือประชาธิปไตย ใครมาใครไป นายภูมิพลให้พรหมด
แต่ ตอนนี้นายภูมิพลหมดสภาพ ดังนั้นเวลาประยุทธ์ทำรัฐประหารก็ไม่เอาใจใส่สร้างภาพว่าไปรับคำสั่งอะไร เวลาไป “รับ” รัฐธรรมนูญเผด็จการก็แค่ถ่ายรูปนายภูมิพลแตะกระดาษ
ขั้นตอนสูงสุดของการปั้นประดิษฐ์กษัตริย์ภายใต้เผด็จการประยุทธ์ตอนนี้คือ "กษัตริย์ที่ไม่มีตัวตน”
ไม่ ต้องมีร่างจริงที่มีชีวิต มีแต่รูปก็พอ คล้ายๆ “พี่ใหญ่” ในหนังสือ 1984 ดังนั้นในอนาคตนายภูมิพลจะเป็นหรือตายไม่สำคัญ เอาภาพมาติดก็พอ ซึ่งผมอยากจะแนะนำ “ท่านผู้นำใหญ่” ว่าตอนนี้ไม่ต้องมีราชวงศ์เลยดีไหม? ไม่ต้องมีงบให้พวกนี้ ขายวังขายเครื่องบินขายรถ ปลดพวกประจบสอพลอออกไป ประหยัดเงินมหาศาล ใช้แต่รูปภาพรูปเดียวก็ได้ เอาไปขึ้นอินเตอร์เน็ดก็ได้ ยิ่งไม่มีค่าใช้จ่ายเลย จะได้เอาเงินไปสร้างรัฐสวัสดิการ....
(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/647-2014-08-27-07-14-56.html
งานศพผิดวัดครั้งใหม่ (1)
งานศพผิดวัดครั้งใหม่ (1)
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ผมไม่คิดว่าคำสนทนาของท่านนายกรัฐมนตรีนอกตำแหน่งอานันท์ปันยารชุนกับคุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ควรค่าแก่การวิจารณ์ตอบโต้ เพราะคำพูดที่ขัดแย้งกันเองแต่ต้นจนปลายเช่นนั้นไม่มีสาระที่ควรได้รับความใส่ใจจากใคร อย่างไรก็ตาม ความเห็นที่เป็นพื้นฐานความคิดของข้อถกเถียงไร้สาระนั้นกลับน่าสนใจกว่า เพราะเป็นวิธีคิดพื้นฐานที่อยู่ปลายจมูกของคนไทยจำนวนหนึ่งมานานแล้ว และผมอยากตอบโต้วิธีคิดพื้นฐานเหล่านั้น จึงขอยกเอาคำกล่าวของคุณอานันท์มาเป็นจุดเชื่อมไปสู่วิธีคิดพื้นฐานดังกล่าว เพราะเป็นวิธีคิดที่ไม่ไกลไปกว่าปลายจมูกเหมือนกัน หากการเขียนทำให้เข้าใจผิดว่าล่วงเกินคุณอานันท์เป็นการส่วนตัว ก็ขออภัยไว้ด้วย เจตนามิได้เป็นเช่นนั้น
คุณอานันท์แสดงความฉงนว่าคนไทยรักฝรั่งเสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ "ฝรั่งไม่ใช่พ่อใช่แม่" ของเรา ยังไม่ทันขาดคำดีคุณอานันท์ก็ยกความเห็นของศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดท่านหนึ่ง ซึ่งเขียนบทความซึ่งคุณอานันท์เชื่อว่านักการเมืองฝรั่งไม่เคยอ่าน ฝรั่งคนนั้นคิดว่าการรัฐประหารมีทั้งดีและเลว เกณฑ์สำหรับใช้วัดก็คือ หากรัฐประหารเพื่อทำให้ประชาธิปไตยเจริญเติบโตขึ้นก็ถือว่าดี หากเป็นการรัฐประหารที่ทำลายประชาธิปไตยก็ถือว่าไม่ดี แล้วท่านก็ยกตัวอย่างรัฐประหารที่ดีคือในกรณีของโปรตุเกศ, กรีก, และตุรกี กับอีกเกณฑ์หนึ่งคือ รัฐประหารแล้วกลับสู่ประชาธิปไตยได้เร็วช้าเพียงไร
ด้วยความอนุเคราะห์ของเพื่อนนักรัฐศาสตร์สองท่าน (อาจารย์เวียงรัตน์ เนติโพธิ์ และ อาจารย์ประจักษ์ ก้องกีรติ) จึงทำให้สามารถหมายได้ว่าข้อเขียนฝรั่งที่คุณอานันท์อ้างถึงนั้นคือ Ozan O. Varol, "The Democratic Coup d Etat," ในวารสาร Harvard International Law Journal, 53/2, 2012 ผู้เขียนไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ฮาร์วาร์ด แต่เป็นรองศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยกฎหมายแห่งหนึ่งในชิคาโก (ที่พูดนี่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง มิได้หมายความว่าศาสตราจารย์ฮาร์วาร์ดเท่านั้นที่พูดอะไรไม่เคยผิด)
ผม ไม่แน่ใจว่าคุณอานันท์ได้อ่านบทความนี้เองหรือไม่หรือได้อ่านละเอียดหรือไม่ การรัฐประหารที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการรัฐประหารเชิงประชาธิปไตยนั้นต้อง ประกอบด้วยคุณสมบัติ 7 ประการ เช่น ต้องล้มล้างระบอบเผด็จการ, ตอบสนองต่อเสียงคัดค้านต่อต้านรัฐบาลนั้น, ผู้นำของระบอบเผด็จการปฏิเสธที่จะลงจากอำนาจ, กองทัพได้รับความเคารพนับถือจากประชาชน ฯลฯ
ถ้าคุณอานันท์ได้อ่านอย่างละเอียดพอสมควร ก็หมายความว่า คุณอานันท์เชื่อตามที่กลุ่ม กปปส.อ้างว่า รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลเผด็จการ ไม่ได้รับการต้อนรับจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ปฏิเสธที่จะลงจากตำแหน่งแม้ได้ประกาศยุบสภาไปแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้วิจารณญาณด้านการเมืองของคุณอานันท์เป็นที่พึงระแวงสงสัยอย่างยิ่ง ว่ายังมีความเที่ยงธรรมอยู่หรือไม่
คดีมาตรา 112 กำลังถูกเข็นให้ไปขึ้นศาลทหาร
คดีมาตรา 112 กำลังถูกเข็นให้ไปขึ้นศาลทหาร
คดีมาตรา 112 กำลังถูกเข็นให้ไปขึ้นศาลทหาร
http://ilaw.or.th/node/3213
การที่เขาดันให้ 112 ไปขึ้นศาลทหารมันสะท้อนธาตุแท้ของกฎหมายนี้ คดีนี้ นักโทษคดีนี้ว่าทั้งหมดเป็น กฎหมายเล่นงานคนเห็นต่างทางการเมือง เป็นคดีการเมือง และนักโทษคดีนี้คือนักโทษการเมือง การมีนักโทษการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจก็สะท้อนว่า ระบอบการเมืองที่มีอยู่ไม่ยอมรับความเห็นต่างทางการเมือง และถอยห่างออกจากหลักการประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมไปทุกวันๆ
คดีมาตรา 112 กำลังถูกเข็นให้ไปขึ้นศาลทหาร
http://ilaw.or.th/node/3213
การที่เขาดันให้ 112 ไปขึ้นศาลทหารมันสะท้อนธาตุแท้ของกฎหมายนี้ คดีนี้ นักโทษคดีนี้ว่าทั้งหมดเป็น กฎหมายเล่นงานคนเห็นต่างทางการเมือง เป็นคดีการเมือง และนักโทษคดีนี้คือนักโทษการเมือง การมีนักโทษการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจก็สะท้อนว่า ระบอบการเมืองที่มีอยู่ไม่ยอมรับความเห็นต่างทางการเมือง และถอยห่างออกจากหลักการประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมไปทุกวันๆ
คืนความจริงกับปิยบุตร : เสรีภาพที่ถูกคุกคาม
คืนความจริงกับปิยบุตร : เสรีภาพที่ถูกคุกคาม
เสรีภาพที่ถูกคุกคาม
ตอนที่ 3 ปัจจุบันและอนาคตการเมืองไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2557 (ชั่วคราว)
https://www.youtube.com/watch?v=70kQOY7CqRU
ตอนที่ 1 ว่าด้วย เนติบริกรในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญร่วมสมัยของไทย
https://www.youtube.com/watch?v=J8r9Kbs838c
26 ส.ค.2557 เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘คืนความจริง’ เผยแพร่บทสนทนากับ ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา วิเคราะห์การคุกคามเสรีภาพของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยเฉพาะผลกระทบของเสรีภาพทางวิชาการ จากการณีที่ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.
โดยก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่บทสนทนากับปิยบุตร ตอนที่ 1 ว่าด้วย เนติบริกรในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญร่วมสมัยของไทย ตอนที่ 2 ว่าด้วย การเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ บทเรียนจากต่างประเทศ และ ตอน 3 ปัจจุบันและอนาคตการเมืองไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2557 (ชั่วคราว) (ชมตอนที่ 2 และ 3)
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2014/08/55232
ลัทธิอุบาทว์!
ลัทธิอุบาทว์!
กราบไหว้รูปภาพ ด้วยความงมงาย จัดฉากสถาปนาตนเองเป็นผู้นำ ประเทศ ราวกับเอาลิเกมาเล่นกันนอกโ รง มีที่เดียวในโลกเท่านั้นที่ ่เขาทำกันแบบนี้
กราบไหว้รูปภาพ
เผด็จการประยุทธ์ เราจะสร้างประชาธิปไตยได้อย่างไร?
เผด็จการประยุทธ์ เราจะสร้างประชาธิปไตยได้อย่างไร?
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
(สรุปจากการประชุมคนไทยรักประชาธิปไตยที่ประเทศเดนมาร์ก)
ปรากฏการณ์ล่าสุดในไทยคือการแต่งตั้งตนเองเป็นนายกของประยุทธ์มือเปื้อน เลือด ประยุทธ์มั่นใจในตนเอง ว่าสมุนใน “สภาทหาร” จะเลือกเขา จนประยุทธ์ไม่สนใจไปร่วมประชุมด้วย
เผด็จการของประยุทธ์ทั้งโหดร้ายและโง่ โหดร้ายเพราะขัง ทรมาน และใช้ 112 ไล่จับคนที่คิดต่าง โง่เพราะหน้าด้านปกครองเดี่ยว และสร้างภาพหน้าสมเพชว่าคืนความสุขให้ประชาชน
เผด็จการนี้ทำให้นึกถึงยุคเผด็จการก่อน 14 ตุลา นักเขียนชื่อดัง วัฒน์ วรรลยางกูร มองว่า “คสช คือเศษสวะตกค้างจากสงครามเย็น” และ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ชี้แจงว่า การรวบอำนาจของประยุทธ์ ใช้วิธีการที่ไม่มีการใช้มาตั้งแต่ยุคเผด็จการถนอม
ในปัจจุบันจำนวนคนไทยที่รักประชาธิปไตย ที่ต้องเดินทางออกนอกประเทศมีจำนวนสูงมาก ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยมีมานานแล้ว ครั้งก่อนจะเป็นช่วงยุค 6 ตุลา
คสช. มีแผนทำอะไร? แน่นอนพวกมันและพวกประจบสอพลอที่คอยฉวยโอกาสเลียเผด็จการ ไม่มีวันปฏิรูประบบการเมืองไทยให้มีประชาธิปไตยมากขึ้นได้ พวกนี้เป็นพวกมือเปื้อนเลือดที่ก่อรัฐประหารและปิดกั้นเสรีภาพ แต่ฝูงนักวิชาการเลื้อยคลาน มักเห่าหอนว่านี่คือการ ”ปฏิรูป”
ขัอสังเกตคดี 112 หลังรัฐประหาร
ขัอสังเกตคดี 112 หลังรัฐประหาร
ประชาไท รายงาน เมื่อ 20 สค. 57 ว่า หลังการรัฐประหารมีผู้ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งหมด 15 คน อันที่จริง ยังมีผู้หลบหนีไม่รายงานตัวอีกจำนวนหนึ่ง ถ้ายึดตามรายงานของไทยรัฐ วันที่ 25 กค. 57 มีจำนวน 55 คน ในจำนวนนั้นส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เคยถูกดำเนินคดี 112 มาก่อนแล้วแต่ได้รับการอภัยโทษแล้วหรือไม่ก็คดีสิ้นสุดแล้ว อีกส่วนหนึ่งคาดว่าอาจจะถูกดำเนินคดี 112 หากคนเหล่านี้มารายงานตัว ก็อาจจะทำให้จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีเพิ่มขึ้นอีก
การดำเนินคดี 112 ในขณะนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงปัญหาของกฎหมายข้อนี้ที่คาราคาซังมาเนิ่นนานอยู่แล้วหลายประการด้วยกันดังนี้
หนึ่ง ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่ไม่ได้รับการประกันตัว มีเพียงผู้มีชื่อเสียง 2 คนจาก 15 คน (ตามรายงานของประชาไท) เท่านั้นที่ได้รับการประกันตัว ทั้งนี้อาจเพราะเพื่อลดความกดดัน หากแต่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จัก หรือมีอาชีพที่ไม่มั่นคง จึงแทบไม่เป็นข่าว ไม่มีใครรับรู้ และไม่มีหลักประกันอย่างเป็นทางการ เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นเกษตรกร นี่สะท้อนความยุติธรรมที่วางอยู่บนความเหลื่อมล้ำของสังคม
สอง ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่ถูกตีตราว่าเป็นคนผิด ก่อนที่จะมีการดำเนินคดี ข้อนี้เห็นได้ชัดจากกรณีของผู้ต้องหารายล่าสุด ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวเนื่องจาก "การกระทำความผิดของผู้ต้องหากับพวก..." ซึ่งเป็นเสมือนการตัดสินไปก่อนแล้วว่าผู้ต้องหา "กระทำความผิด" ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดำเนินคดี นี่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไม่ให้ความยุติธรรมกับผู้ต้องหาก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
สาม มีแนวโน้มที่การดำเนินคดีจะไม่โปร่งใส และอาจจะไม่ได้รับความยุติธรรมยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการประกาศใช้ศาลทหาร และผู้ถูกดำเนินคดีบางรายถูกดำเนินคดีโดยศาลทหาร ข้อนี้ยิ่งทำให้ผู้ถูกเรียกตัวจำนวนมากลังเลที่จะเข้ารายงานตัว
สี่ ถูกใช้เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับการดำเนินคดีที่ผ่านมา และในกรณีหลังการรัฐประหาร แนวโน้มนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นว่าผู้ถูกดำเนินคดีส่วนใหญ่ หรืออาจจะทั้งหมด ล้วนเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่ขัดแย้งกับผู้มี อำนาจในปัจจุบัน หรือเป็นฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจของคณะรัฐประหาร คณะรัฐประหารจึงใช้คดี 112 เพื่อหวังผลสืบเนื่องจากการดำเนินคดี กล่าวคือเพื่อลดการต่อต้านคณะรัฐประหาร ด้วยการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดี 112
หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคดี 112 ก็จะกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมทางการเมืองที่คนกลุ่มหนึ่ง ชนชั้นหนึ่ง ใช้อย่างลำเอียงต่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง อีกชนชั้นหนึ่ง ตลอดจนสะท้อนปัญหาความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำของสังคม ปัญหาการกระบวนการยุติธรรมและทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ และเหนืออื่นใดคือ ปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่ต่อไป
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2014/08/55158
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในวิพากษ์ ค่านิยม 12 ประการ ของ คสช.
นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในวิพากษ์ ค่านิยม 12 ประการ ของ คสช.
"ถ้ารักชาติแบบคุณ ผมไม่เอาด้วย เพราะชาติของคุณไม่ยอมรับคว ามเสมอภาคของคน หัวใจของชาติในทัศนะของผมคื อคนทุกคนต้องเท่ากัน"
นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในวิพากษ์ ค่านิยม 12 ประการ ของ คสช.
http://www.youtube.com/ watch?v=gozjhlMZbks
Agree with Nidhi...........
คำว่า "ชาติ" หรือ "ประชาชาติ" ที่แปลมาจาก คำว่า Nation นั้น
เป็นคำ "เก่า" ที่เอามาใช้ในความหมาย "ใหม่"
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช รัชกาลทีี่ 6
เคยแปลเพียงว่า "ชาติ" อย่างกรณี
League of Nations ก็แปลว่า "สันนิบาตชาติ"
"ถ้ารักชาติแบบคุณ ผมไม่เอาด้วย เพราะชาติของคุณไม่ยอมรับคว
นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในวิพากษ์ ค่านิยม 12 ประการ ของ คสช.
http://www.youtube.com/
Agree with Nidhi...........
คำว่า "ชาติ" หรือ "ประชาชาติ" ที่แปลมาจาก คำว่า Nation นั้น
เป็นคำ "เก่า" ที่เอามาใช้ในความหมาย "ใหม่"
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช รัชกาลทีี่ 6
เคยแปลเพียงว่า "ชาติ" อย่างกรณี
League of Nations ก็แปลว่า "สันนิบาตชาติ"
แต่เสด็จในกรมนราฯ (อดีตอธิการฯ มธ ที่ไม่เคยทะเลาะกับ นศ เรื่อง "เสรีภาพ")
สมัย "พยายามเป็นประชาธิปไตย"
แปลคำว่า United Nations ว่า "สหประชาชาติ"
คือเติมคำว่า "ประชา" เข้าไป
ดังนั้น "ชาติ" ในความหมายนี้ ก็มี "ประชาชน" ด้วย
ต่างจากความหมายสมัยรัชกาลที่ 6 สมบูรณาญาสิทธิราช
ที่ "ขาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
หาได้มี ตำแหน่งแห่งที่ให้ "ประชาชน" ไม่
"ชาติ" น่าจะหมายเพียง country หรือ "ประเทศ"
คำถาม คือ ประชาชน ในระบอบเก่า อยู่ตรงไหน
ปัญหาดังกล่าว
จึงทำให้มีการต่อด้วย "และรัฐธรรมนูญ" ของ "คณะราษฎร"
หรือ "และประชาชน" ของ "คสช" ใช่หรือไม่ ???
cK@ประชาชนอยู่ที่ไหน???
สมัย "พยายามเป็นประชาธิปไตย"
แปลคำว่า United Nations ว่า "สหประชาชาติ"
คือเติมคำว่า "ประชา" เข้าไป
ดังนั้น "ชาติ" ในความหมายนี้ ก็มี "ประชาชน" ด้วย
ต่างจากความหมายสมัยรัชกาลที่ 6 สมบูรณาญาสิทธิราช
ที่ "ขาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"
หาได้มี ตำแหน่งแห่งที่ให้ "ประชาชน" ไม่
"ชาติ" น่าจะหมายเพียง country หรือ "ประเทศ"
คำถาม คือ ประชาชน ในระบอบเก่า อยู่ตรงไหน
ปัญหาดังกล่าว
จึงทำให้มีการต่อด้วย "และรัฐธรรมนูญ" ของ "คณะราษฎร"
หรือ "และประชาชน" ของ "คสช" ใช่หรือไม่ ???
cK@ประชาชนอยู่ที่ไหน???
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557
Thai Voice Media EP 1 คสช ทำอะไรกับเปิ้ล กริชสุดา คุณะเสน
คสช ทำอะไรกับเปิ้ล กริชสุดา คุณะเสน
Thai Voice Media EP 1คสช ทำอะไรกับเปิ้ล กริชสุดา คุณะเสน
https://www.youtube.com/watch?v=vaTuvdSGeNQ "เปิ้ล กริชสุดา" เผยเบื้องหลังวาทะ "มีความสุขจนไม่รู้จะพูดยังไง"
http://www.prachatai.com/journal/2014/08/54883
เปิ้ล กริชสุดา คุณะเสน เปิดเผยความจริงถึงการถูกกระทำทารุณข่มขู่ คุกคามจากพวกโจรคณะรักษาความสงบราบคาบแห่ง
คลิปคุณเปิ้ลที่สัมภาษณ์โดยคุณจอม เพชรประดับนั้น สั่นสะเทือนกว่าทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพราะ
1. เป็นกรณีที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษตั้งแต่เธอถูกทหารเอาตัวไปกักกันเป็นเวลานานโดยปราศจากหมายเรียกและข้อหาใดๆ ในฐานะเป็นผู้หญิงเสื้อแดงอายุเพียง 27 ปี
2. เป็นกรณีที่ได้รับความสนใจจากสื่อต่างชาติมากในช่วงก่อนที่ทหารจะออกมาให้ ข้อมูลว่าเธอยังมีชีวิต โดยเฉพาะ Human Rights Watch มีบทบาทสำคัญในการเรียกร้องอันนำไปสู่การที่คุณเปิ้ลได้ถูกปล่อยตัวออกมาใน ภายหลัง
3. เป็นการให้ข้อมูลอย่างละเอียดของการละเมิดขั้นร้ายแรงตลอดเวลาเกือบหนึ่งเดือนโดยทหาร
4. สำคัญที่สุดคือมีการระบุว่านายทหารระดับสูงรู้เห็น สรรเสริญ แก้วกำเนิด ถูกระบุในคลิปว่าเป็นผู้จัดการให้เกิดการแถลงข่าวเท็จ มีการกดดันข่มขู่เหยื่อให้ปกปิดความจริง
5. การแหกตาประชาชนทั้งประเทศโดยกองทัพที่ได้ถูกกล่าวถึงในคลิปนั้น ระบุชัดว่าเกิดขึ้นอย่างตั้งใจ บังคับให้คุณเปิ้ลพูดต่อหน้านักข่าวช่องห้าที่นัดหมายมา ถึงการกักกันในทางที่ดีอันเป็นที่มาของวลี "มีความสุขจนไม่รู้จะพูดยังไง" ออกอากาศทาง ททบ.5 กองทัพปฏิเสธได้ยาก
พรุ่งนี้รอฟังว่าเสธ.ไก่อูยังจะกล้าออกมาสู้หน้าสังคมหรือไม่ ที่แน่ๆ กรณีนี้ต้องเป็นคนระดับประยุทธ จันทร์โอชา เท่านั้นที่ต้องออกมาตอบคำถามคนทั้งโลก
ส่วนคุณเปิ้ลได้ลี้ภัยออกนอกประเทศแล้ว และได้รับเชิญจากยูเอ็นรวมถึงหน่วยงานทั้งของรัฐและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ให้ไปให้ข้อเท็จจริง เธอได้ก้าวข้ามความกลัวที่เป็นกำแพงขังความจริงทั้งมวล
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ชวนอ่าน: "ลอก-ขุด-ใหม่" ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557
ชวนอ่าน: "ลอก-ขุด-ใหม่" ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557
คลอดออกมาเรียบร้อยสำหรับรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557
หลังรอคอยกันมานานกว่า 60 วัน
นับเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ใช้เวลาร่างยาวนานเป็นลำดับที่ 2
ต่อจากรัฐธรรมนูญปี 2502 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ใช้เวลา 111 วัน
จึงประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่ 19 ของสยาม/ประเทศไทย
และเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราวหลังรัฐประหารฉบับที่ 8
ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นเสมือน
โรดแมปทางการเมืองระยะที่สองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ก่อนมีการร่างรัฐธรรมนูญถาวรเพื่่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และ
ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นั่นหมายความว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้จะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อยประมาณหนึ่งปี
เนื้อหา ในรัฐธรรมนูญใหม่เกินครึ่งไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นการนำของเดิมจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวเก่ามาใช้ใหม่โดยการปรับแต่งคำ หรือประโยคใหม่ของเนติบริกร อย่างไรก็ตามบริบททางการเมืองที่่เปลี่ยนไปจึงต้องมีเนื้อหาใหม่เข้ามาบ้าง ทั้งนี้เนื้อหาที่เข้ามาใหม่ก็มิได้เปลี่ยนแปลงจารีตเดิมของรัฐธรรมนูญชั่ว คราว ซึ่งมีลักษณะเป็นการหนุนเสริมอำนาจและจารีตเดิมของผู้นำเผด็จการ
งาน ชิ้นนี้จึงสำรวจรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับก่อนหน้า โดยนำบริบทการเมืองในอดีตและปัจจุบันมาร่วมพิจารณาการเมืองไทยภายใต้รัฐ ธรรมนูญใหม่
หมาย เหตุ: ในอดีต กฎหมายสูงสุดของไทยเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” และ “ธรรมนูญ” เพื่อลดความสับสนและความยุ่งยากในการเรียก จึงขอใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ” และ "รัฐธรรมนูญชั่วคราว" แทนตามความเหมาะสม
เนื้อหา ในรัฐธรรมนูญใหม่เกินครึ่งไม่ใช่ของใหม่ แต่เป็นการนำของเดิมจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวเก่ามาใช้ใหม่โดยการปรับแต่งคำ หรือประโยคใหม่ของเนติบริกร อย่างไรก็ตามบริบททางการเมืองที่่เปลี่ยนไปจึงต้องมีเนื้อหาใหม่เข้ามาบ้าง ทั้งนี้เนื้อหาที่เข้ามาใหม่ก็มิได้เปลี่ยนแปลงจารีตเดิมของรัฐธรรมนูญชั่ว คราว ซึ่งมีลักษณะเป็นการหนุนเสริมอำนาจและจารีตเดิมของผู้นำเผด็จการ
งาน ชิ้นนี้จึงสำรวจรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับก่อนหน้า โดยนำบริบทการเมืองในอดีตและปัจจุบันมาร่วมพิจารณาการเมืองไทยภายใต้รัฐ ธรรมนูญใหม่
หมาย เหตุ: ในอดีต กฎหมายสูงสุดของไทยเรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” และ “ธรรมนูญ” เพื่อลดความสับสนและความยุ่งยากในการเรียก จึงขอใช้คำว่า “รัฐธรรมนูญ” และ "รัฐธรรมนูญชั่วคราว" แทนตามความเหมาะสม
(อ่านต่อ)
รัฐราชการอย่างเต็มรูปแบบ!
รัฐราชการอย่างเต็มรูปแบบ!
ขรก.เตรียมเฮ คสช.เร่งหาแนวทางปรับเงินเดือน ยกฐานะสมเกียรติยศศักดิ์ศรี
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1406893556
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406957091
ขรก.เตรียมเฮ คสช.เร่งหาแนวทางปรับเงินเดือน ยกฐานะสมเกียรติยศศักดิ์ศรี
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1406893556
เว็บไซต์ประชาไท
รายงานว่า นายธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐอเมริกา
ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ทุกครั้งที่ทหารยึดอำนาจ
เมื่อมีการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติ ก็จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่สามารถสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหันได้
เหมือนกับการทำรัฐประหารทุกครั้ง และการแต่งตั้ง สนช. ครั้งนี้
ก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของการทำรัฐประหารนั่นก็คือ การออกกฎหมาย เพื่อกำจัดระบอบทักษิณ
และทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง เพราะเห็นว่าเป็นต้นตอของการคอร์รัปชั่น ซึ่งการทำลายนักการเมือง
ก็เท่ากับเป็นการทำลายเสียงของประชาชนด้วย
นายธงชัยกล่าวว่า
ถ้าจะให้ประเมินจากหน้าตาของ สนช.ทั้ง 200 คน ทำให้เห็นว่า
คสช.ต้องการที่จะให้ประเทศไทยเป็นรัฐราชการอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่งหากคสช.มองว่า
ปัญหาของสังคมไทยมาจากระบอบทักษิณ มาจากนักการเมือง จึงต้องเปลี่ยนให้เป็น รัฐราชการ เท่ากับมองปัญหาผิด
เพราะสังคมไทย และคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว รัฐราชการ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างแน่นอน
ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น การแก้ปัญหาจึงไม่มีที่สิ้นสุด
(ที่มา)http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406957091
รูปแบบของการเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย
รูปแบบของการเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตย
โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล
ใน "La transition constitutionnelle en Grèce et en Espagne" (การเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญในกรีซและสเปน) วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของ Georges Kaminis เสนอต่อมหาวิทยาลัย Paris I เมื่อปี 1989 ได้สรุปและเสนอรูปแบบการเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญไว้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1. การเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญโดยความยินยอมของเผด็จการ
เช่น ความพยายามของปาปาโดปูลอสในปี 1973 ในกรีซ แต่ไม่สำเร็จ, กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ของสเปนริเริ่มการยกเลิกระบอบฟรังโก้และเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ประชาธิปไตยในปี 1976, เผด็จการทหารของตุรกี ทำรัฐธรรมนูญ 1982
2. การเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญโดยการทำลายรัฐธรรมนูญเผด็จการแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยปริยาย
แบ่งเป็น
2.1. การทำลายรัฐธรรมนูญเผด็จการผ่านการใช้และการตีความของศาลและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ที่พยายามใช้และตีความให้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเผด็จการสิ้นผลไปโดยปริยาย ทีละเรื่อง ทีละมาตรา
2.2. การทำลายรัฐธรรมนูญเผด็จการผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเผด็จการ โดยเข้าไปแก้บทบัญญัติสำคัญอันเป็น "แก่น" หรือ "หัวใจ" ของรัฐธรรมนูญเผด็จการ อาจเรียกได้ว่า แก้รัฐธรรมนูญที่ส่งผลทำลายรัฐธรรมนูญ
เช่น กฎหมายปฏิรูปการเมืองของสเปนในปี 1977 เปิดทางให้มีการทำรัฐธรรมนูญใหม่
1 สิงหาคม 2557 แถลงการณ์ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชอำนาจและราชสมบัติ
1 สิงหาคม 2557 แถลงการณ์ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชอำนาจและราชสมบัติ
1 สิงหาคม 2557 แถลงการณ์ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้กษัตริย์ภูมิพลสละราชอำนาจและราชสมบัติ
https://www.youtube.com/watch?feature=youtu.be&v=IPxm5K0NZ3k&app=desktop
เก็บตกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ.1914
เก็บตกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ.1914
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
วันที่ 28 กรกฏาคมปีนี้ เป็นวันครบรอบ 100 ปีแห่งการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามนี้เป็นสงคราม “ทุนนิยมสมัยใหม่” ที่ใช้อาวุธอุตสาหกรรมและทำลายชีวิตทหารนุ่มถึง 10 ล้านคน มันเป็นสงครามทางชนชั้น เพราะชนชั้นปกครองในประเทศมหาอำนาจของยุโรป ผลักให้ชนชั้นกรรมาชีพประเทศต่างๆ ไปฆ่ากันเอง และมันเป็นสงคราม “ทุนนิยมสมัยใหม่” ในอีกด้านหนึ่งที่สำคัญด้วย คือเกิดจากการปะทะกันระหว่างประเทศต่างๆ ภายใต้ระบบที่เราเรียกว่า “จักรวรรดินิยม”
ต้นกำเนิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
การที่ระบบจักรวรรดินิยมโลกนำไปสู่การยึดครองพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก และในที่สุดนำไปสู่สงครามระหว่างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมเอง เริ่มชัดเจนตั้งแต่ 1904 เมื่อรัสเซียพยายามขยายอาณาจักรไปทางตะวันออกเข้าสู่จีน และเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นที่กำลังขยายไปทางตะวันตกเข้าสู่เกาหลี นอกจากนี้มีการปะทะกันระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศสในอัฟริกาเหนือ เพื่อหาอาณานิคม
แต่ภูมิภาคอันตรายที่สุดคือแถบยุโรปตะวันออกหรือ “บอลคาน” เพราะมหาอำนาจใหญ่ๆ เข้ามาแย่งกันอุปถัมภ์รัฐเล็กๆ เช่น เซอร์เบีย กรีซ มอนตาเนโกร บัลแกเรีย ฯลฯ ซึ่งกำลังทำสงครามแย่งชิงซากเก่าของอาณาจักร “ออตตามันเตริก” สถานการณ์อันตรายแบบนี้ มัดความขัดแย้งในพื้นที่เข้ากับความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจใหญ่ จนเป็นชะนวนที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
บ่อยครั้งนักวิชาการที่ไม่วิเคราะห์อะไรลึกๆ จะให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จุดไฟของสงคราม เช่นการลอบยิงเจ้าชายเฟอร์ดิแนนของออสเตรีย แต่รากฐานต้นกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาจากการแย่งชิงพื้นที่ อิทธิพล และ อำนาจ ระหว่างมหาอำนาจทุนนิยม จนทุกฝ่ายยอมอะไรไม่ได้ ในเรื่องนี้นักมาร์คซิสต์รัสเซียชื่อ เลนิน เข้าใจดี
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ.1914-1918
ในเดือนสิงหาคม 1914 หลังจากที่สงครามเกิดขึ้น คนจำนวนมากในยุโรปคลั่งชาติและหลงคิดว่าฝ่ายของตนเองจะชนะในไม่กี่เดือน ในเมืองต่างๆ ประชาชนออกมาชุมนุมสนับสนุนสงครามด้วยความสนุกสนาน เหมือนกับจะแห่กันไปงานวัด หรือไปดูมวย
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
วันที่ 28 กรกฏาคมปีนี้ เป็นวันครบรอบ 100 ปีแห่งการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามนี้เป็นสงคราม “ทุนนิยมสมัยใหม่” ที่ใช้อาวุธอุตสาหกรรมและทำลายชีวิตทหารนุ่มถึง 10 ล้านคน มันเป็นสงครามทางชนชั้น เพราะชนชั้นปกครองในประเทศมหาอำนาจของยุโรป ผลักให้ชนชั้นกรรมาชีพประเทศต่างๆ ไปฆ่ากันเอง และมันเป็นสงคราม “ทุนนิยมสมัยใหม่” ในอีกด้านหนึ่งที่สำคัญด้วย คือเกิดจากการปะทะกันระหว่างประเทศต่างๆ ภายใต้ระบบที่เราเรียกว่า “จักรวรรดินิยม”
ต้นกำเนิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
การที่ระบบจักรวรรดินิยมโลกนำไปสู่การยึดครองพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก และในที่สุดนำไปสู่สงครามระหว่างมหาอำนาจจักรวรรดินิยมเอง เริ่มชัดเจนตั้งแต่ 1904 เมื่อรัสเซียพยายามขยายอาณาจักรไปทางตะวันออกเข้าสู่จีน และเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นที่กำลังขยายไปทางตะวันตกเข้าสู่เกาหลี นอกจากนี้มีการปะทะกันระหว่างเยอรมันกับฝรั่งเศสในอัฟริกาเหนือ เพื่อหาอาณานิคม
แต่ภูมิภาคอันตรายที่สุดคือแถบยุโรปตะวันออกหรือ “บอลคาน” เพราะมหาอำนาจใหญ่ๆ เข้ามาแย่งกันอุปถัมภ์รัฐเล็กๆ เช่น เซอร์เบีย กรีซ มอนตาเนโกร บัลแกเรีย ฯลฯ ซึ่งกำลังทำสงครามแย่งชิงซากเก่าของอาณาจักร “ออตตามันเตริก” สถานการณ์อันตรายแบบนี้ มัดความขัดแย้งในพื้นที่เข้ากับความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจใหญ่ จนเป็นชะนวนที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
บ่อยครั้งนักวิชาการที่ไม่วิเคราะห์อะไรลึกๆ จะให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่จุดไฟของสงคราม เช่นการลอบยิงเจ้าชายเฟอร์ดิแนนของออสเตรีย แต่รากฐานต้นกำเนิดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาจากการแย่งชิงพื้นที่ อิทธิพล และ อำนาจ ระหว่างมหาอำนาจทุนนิยม จนทุกฝ่ายยอมอะไรไม่ได้ ในเรื่องนี้นักมาร์คซิสต์รัสเซียชื่อ เลนิน เข้าใจดี
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ค.ศ.1914-1918
ในเดือนสิงหาคม 1914 หลังจากที่สงครามเกิดขึ้น คนจำนวนมากในยุโรปคลั่งชาติและหลงคิดว่าฝ่ายของตนเองจะชนะในไม่กี่เดือน ในเมืองต่างๆ ประชาชนออกมาชุมนุมสนับสนุนสงครามด้วยความสนุกสนาน เหมือนกับจะแห่กันไปงานวัด หรือไปดูมวย
สาระ+ภาพ: การอนุมัติงบประมาณในโครงการต่างๆ ของ คสช.
สาระ+ภาพ: การอนุมัติงบประมาณในโครงการต่างๆ ของ คสช.
คลิกเพื่อดูรูปขนาดใหญ่
การอนุมัติงบประมาณในโครงการต่างๆ โดยที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในห้วง 2 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึง 28 กรกฎาคม 2557 มีรายละเอียดดังนี้
17 มิ.ย. 2557 - ภายหลังจากที่ คสช. อนุมัติช่วยเหลือชาวนาที่ยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว ต่อมาวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. แถลงปิดบัญชีหนี้้ค้างชำระโครงการจำนำข้าวฤดูกาล 2556/2557 ให้ชาวนา 838,538 ราย รวม 89,931 ล้านบาท โดยมาจากเงินสภาพคล่องของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และ การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย [1], [2], ไทยพับลิกา)
17 มิ.ย. 2557 - อนุมัติงบประมาณ 5,400 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ 5.8 แสนราย ซึ่งเป็นโครงการตกค้างในการให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ปี 2555 และปี 2556 จนถึงปัจจุบัน (เว็บไซต์รัฐบาลไทย, ผลการประชุม คสช. 24 มิ.ย. 2557)
ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง
ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง
มาทั้งบ้าน? ยิ่งกว่าสภาผัวเมีย
2 ส.ค. 2557 นายธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ประจำสถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ถึงผลการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ทุกครั้งที่ ทหารยึดอำนาจ เมื่อมีการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติ ก็จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่สามารถสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหันได้ เหมือนกับการทำรัฐประหารทุกครั้ง และการแต่งตั้ง สนช. ครั้งนี้ ก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของการทำรัฐประหารนั่นก็คือ การออกกฎหมาย เพื่อกำจัดระบอบทักษิณ และทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง เพราะเห็นว่า เป็นต้นตอของการคอรัปชั่น ซึ่งการทำลายนักการเมือง ก็เท่ากับเป็นการ ทำลายเสียงของประชาชนด้วย
นายธงชัยกล่าวว่า ถ้าจะให้ประเมิน จากหน้าตาของ สนช.ทั้ง 200 คน ทำให้เห็นว่า คสช.ต้องการที่จะให้ ประเทศไทย เป็นรัฐราชการอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่ง หาก คสช.มองว่า ปัญหาของสังคมไทยมาจากระบอบทักษิณ มาจากนักการเมือง จึงต้องเปลี่ยนให้เป็น รัฐราชการ เท่ากับมองปัญหาผิด เพราะสังคมไทย และคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว รัฐราชการ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น การแก้ปัญหาจึงไม่มีที่สิ้นสุด
ใครเป็นใคร ? ใน สนช. 200 คน ตรวจสอบได้ที่นี่ !!!
ใครเป็นใคร ? ใน สนช. 200 คน ตรวจสอบได้ที่นี่ !!!
โควต้า สนช. ทหารเกินครึ่ง ทบ. 60 คน,ทร.-ทอ. แบ่งไปทัพละ 15 เก้าอี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406822114
ใครเป็นใคร ? ใน สนช. 200 คน ตรวจสอบได้ที่นี่ !!!
http://www.matichon.co.th
/news_detail.php?newsid=1406764264
โปรดเกล้าฯ 200 สนช. แล้ว (คลิกอ่านรายชื่อ)
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05qZ3hPVEF3T0E9PQ%3D%3D&subcatid
"กษัตริย์ ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้ง "สนช.ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง" หากแต่ยึดอำนาจมานั้น "เป็นเรื่องที่ถูกต้อง" สำหรับ "ระบอบนี้" แล้วล่ะครับ เพราะ สนช.ไม่ใช่ "ผู้แทนของปวงชนชาวไทย" ก็เลยต้อง "โปรดเกล้าฯ" โดยกษัตริย์
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น "ผู้ แทนของปวงชนชาวไทย" (คือมาจากการเลือกตั้งโดยตรง) "ไม่ต้องให้กษัตริย์โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง" เพราะ "ผู้แทนของปวงชนชาวไทย" ได้รับการเลือกมาจาก "เจ้าของอำนาจที่แท้จริง" (คือ ปวงชน) ใช้อำนาจโดยตรงนั่นเอง
ประเด็นนี้เป็นจุดสะท้อนอย่างเด่นชัดว่า ผู้นั้นเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยที่แท้จริงหรือไม่ หรือมาจาก "ใคร" ที่ไม่ใช่ "เจ้าของอำนาจที่แท้จริงในรัฐ"
โควต้า สนช. ทหารเกินครึ่ง ทบ. 60 คน,ทร.-ทอ. แบ่งไปทัพละ 15 เก้าอี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406822114
ใครเป็นใคร ? ใน สนช. 200 คน ตรวจสอบได้ที่นี่ !!!
http://www.matichon.co.th
/news_detail.php?newsid=1406764264
โปรดเกล้าฯ 200 สนช. แล้ว (คลิกอ่านรายชื่อ)
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05qZ3hPVEF3T0E9PQ%3D%3D&subcatid
"กษัตริย์ ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้ง "สนช.ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง" หากแต่ยึดอำนาจมานั้น "เป็นเรื่องที่ถูกต้อง" สำหรับ "ระบอบนี้" แล้วล่ะครับ เพราะ สนช.ไม่ใช่ "ผู้แทนของปวงชนชาวไทย" ก็เลยต้อง "โปรดเกล้าฯ" โดยกษัตริย์
ในระบอบประชาธิปไตยนั้น "ผู้ แทนของปวงชนชาวไทย" (คือมาจากการเลือกตั้งโดยตรง) "ไม่ต้องให้กษัตริย์โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง" เพราะ "ผู้แทนของปวงชนชาวไทย" ได้รับการเลือกมาจาก "เจ้าของอำนาจที่แท้จริง" (คือ ปวงชน) ใช้อำนาจโดยตรงนั่นเอง
ประเด็นนี้เป็นจุดสะท้อนอย่างเด่นชัดว่า ผู้นั้นเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยที่แท้จริงหรือไม่ หรือมาจาก "ใคร" ที่ไม่ใช่ "เจ้าของอำนาจที่แท้จริงในรัฐ"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)