หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

การรักษาสถาบันกษัตริย์ด้วยการสละราชบังลังก์ของกษัตริย์สีหนุ

การรักษาสถาบันกษัตริย์ด้วยการสละราชบังลังก์ของกษัตริย์สีหนุ

 

 
โดย ปิยบุตร แสงกนกกุล

 

- ๑ -
กษัตริย์กัมพูชา : กษัตริย์ผู้ถูกเลือกตั้ง ไม่ใช่ กษัตริย์ผู้สืบสายโลหิต

เอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่งของสถาบันกษัตริย์กัมพูชาที่สะท้อนให้เห็นความ เป็นประชาธิปไตยมากกว่าสถาบันกษัตริย์ของไทย คือ การได้มาซึ่งตำแหน่งกษัตริย์ นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗ - รัฐธรรมนูญฉบับแรกของกัมพูชาซึ่งกำหนดให้กัมพูชาเป็นประชาธิปไตย เป็นราชอาณาจักร มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ – ได้สร้างหลักการเรื่อง “กษัตริย์ผู้ถูก เลือกตั้ง” ไม่ใช่ “กษัตริย์ผู้สืบสายโลหิต” กล่าวคือ เมื่อราชบัลลังก์ว่างลง ผู้สืบสายโลหิตของกษัตริย์ที่ตายไปไม่อาจถูกแต่ง ตั้งเป็นกษัตริย์ได้โดยอัตโนมัติ แต่ต้องให้คณะกรรมการราชบัลลังก์ (Conseil de la Couronne) มีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากเลือกให้ผู้สืบสายโลหิตนั้นเป็น กษัตริย์[1] ซึ่ง คณะกรรมการราชบัลลังก์ประกอบด้วย ประธานสภาแห่งพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ ประธานสภาแห่งชาติ ประธานสภาแห่งราชอาณาจักร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าฝ่ายสงฆ์ทั้งสองนิกาย[2]

รัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗ ถูกยกเลิกโดยรัฐประหาร ๘ มีนาคม ๑๙๗๐ ของนายพลลอน นอล กัมพูชากลายเป็นสาธารณรัฐ หลังจากนั้นกัมพูชาก็ผ่านความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มพลังทางการเมือง ต่างๆโดยมีประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต จีน และประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม และไทย คอยให้การสนับสนุนกลุ่มพลังการเมืองเหล่านั้น

สถาบันกษัตริย์กัมพูชากลับมาอีกครั้งในรัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓  บทบัญญัติหมวด ๒ ว่าด้วยกษัตริย์ ยังคงหลักการตามรัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗ ที่ว่า “กษัตริย์ผู้ถูกเลือกตั้ง” ในมาตรา ๑๐ ของรัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ ประกาศหลักการดังกล่าวอย่างชัดเจนว่า สถาบันกษัตริย์กัมพูชาเป็นสถาบันกษัตริย์ที่ถูกเลือกตั้ง กษัตริย์ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งรัชทายาทเพื่อครองราชย์ แม้ จะยึดหลักการ “กษัตริย์ผู้ถูกเลือกตั้ง” แต่รัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ เคร่งครัดกว่ารัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗ ในประเด็นที่ห้ามมิให้กษัตริย์แต่งตั้งรัชทายาทโดยเด็ดขาด ในขณะที่รัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗ อนุญาตให้กษัตริย์ตั้งรัชทายาทได้หลังปรึกษาหารือคณะกรรมการราชบัลลังก์แล้ว

ตามรัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ มาตรา ๑๓ องค์กรผู้มีอำนาจหน้าที่ในการเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ คือ คณะกรรมการราชบัลลังก์ (Conseil du Trône) อันประกอบด้วยกรรมการ ๙ คน ได้แก่ ประธานวุฒิสภา ประธานสภาแห่งชาติ นายกรัฐมนตรี หัวหน้าฝ่ายสงฆ์นิกายธรรมยุติและมหานิกาย รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ และ ๒ รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๑ และ ๒ จากองค์ประกอบของคณะกรรมการราชบัลลังก์แสดงให้เห็นถึง “ลักษณะทางการ เมืองอยู่เหนือลักษณะทางกษัตริย์”[3] เพราะกรรมการมาจากฝ่ายการเมืองรวม ๗ คน มีเพียงหัวหน้าคณะสงฆ์สองนิกายเท่านั้นที่สะท้อนถึงลักษณะจารีตประเพณี  

คณะกรรมการราชบัลลังก์ไม่สามารถเลือกบุคคลใดมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ก็ได้ เพราะ รัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ มาตรา ๑๔ บังคับให้เลือกสมาชิกในราชวงศ์อายุอย่างน้อย ๓๐ ปี และสืบสายโลหิตมาจากกษัตริย์องด้วง กษัตริย์นโรดม กษัตริย์สีสวัสดิ์ นั่นหมายความว่า บุคคลที่อาจถูกเลือกเป็นกษัตริย์ต้องมาจาก ๓ สกุลนี้เท่านั้น


- ๒ 
กษัตริย์ตาย กษัตริย์เจ็บป่วยอย่างร้ายแรง กษัตริย์ไม่อยู่ในราชอาณาจักร
และการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

รัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ มาตรา ๗ วรรคสองบัญญัติว่า กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐตลอดชีวิต ราช บัลลังก์จะว่างลงทันทีเมื่อกษัตริย์ตาย และรัฐธรรมนูญก็ไม่อนุญาตให้ตั้งรัชทายาทได้ นั่นหมายความว่า ตำแหน่งประมุขของรัฐจะไม่มีผู้ใดมาปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงต้องวางกระบวนการแต่งตั้งบุคคลมาเป็นประมุขของรัฐชั่วคราว เพื่อรอให้คณะกรรมการราชบัลลังก์มีมติเลือกตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๒ กำหนดว่า เมื่อกษัตริย์ตาย ให้ประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐชั่วคราวในฐานะเป็นผู้สำเร็จ ราชการ ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐชั่วคราวได้ ให้ประธานสภาแห่งชาติปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๑ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๒ ปฏิบัติหน้าแทน

นอกจากนี้ เพื่อประกันความต่อเนื่องของตำแหน่งประมุขของรัฐ ในกรณีที่กษัตริย์เจ็บป่วยอย่างร้ายแรงจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐ ได้ รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๑ กำหนดให้มีคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่วินิจฉัยว่ากษัตริย์อยู่ในสภาวะ เจ็บป่วยอย่างร้ายแรงจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หากเกิดกรณีดังกล่าว ให้ประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐชั่วคราวในฐานะเป็นผู้สำเร็จ ราชการ ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐชั่วคราวได้ ให้ประธานสภาแห่งชาติปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๑ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๒ ปฏิบัติหน้าแทน

ในรัชสมัยของกษัตริย์สีหนุ ทั้งในช่วงก่อนรัฐประหาร ๑๙๗๐ และในยุคปัจจุบัน พระองค์มักเดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลายาวนาน ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาลที่จีน การพำนักอาศัยที่เกาหลีเหนือ หรือการเดินทางเพื่อเป้าประสงค์ทางการเมืองในฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียต ทำให้เกิดปัญหาไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ หรือบางกรณี เมื่อกษัตริย์ไม่อยู่ ก็อาจเปิดโอกาสให้รัฐประหาร ดังที่เคยเกิดมาแล้วเมื่อปี ๑๙๗๐ รัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ ต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในมาตรา ๓๐ จึงกำหนดว่า ในกรณีที่กษัตริย์ไม่อยู่  ให้ประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐชั่ว คราวในฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการ ในกรณีที่ประธานวุฒิสภาไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐชั่วคราวได้ ให้ประธานสภาแห่งชาติปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๑ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๑ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ ๒ ปฏิบัติหน้าแทน ถ้าไม่ได้อีก ให้รองประธานสภาแห่งชาติคนที่ ๒ ปฏิบัติหน้าแทน

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้แล้ว กษัตริย์สีหนุเสด็จไปรักษาพยาบาลและพำนักอาศัยที่จีนบ่อยครั้ง โดยไม่มีการแต่งตั้งให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และปัญหาสุญญากาศทางการเมือง ในปี ๑๙๙๔ จึงมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในมาตรา ๒๘ วรรคสองว่า ใน กรณีเจ็บป่วยและรักษาพยาบาลที่ต่างประเทศ ให้กษัตริย์มอบอำนาจการลงนามในพระราชบัญญัติและพระราชกฤษฎีกาเพื่อประกาศใช้ เป็นกฎหมายแก่ประมุขของรัฐชั่วคราว การมอบอำนาจการลงนามดังกล่าวต้องกระทำโดยเร็ว” ว กษัตริย์สีหนุเสด็จไปพำนักอาศัยที่จีนบ่อยครั้ง และไม่มีการแต่งตั้งให้ประธานวุฒิสภาเป

- ๓ -
ใครจะเป็นกษัตริย์องค์ถัดไป? ความกังวลใจของกษัตริย์สีหนุ

รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการประชุมของคณะ กรรมการราชบัลลังก์และจำนวนมติในการเลือกกษัตริย์ จึงต้องมีการตรากฎหมายเพื่อกำหนดรายละเอียดขึ้น แม้รัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ตั้งแต่ปี ๑๙๙๓ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการผลักดันให้ตรากฎหมายคณะกรรมการราชบัลลังก์ จนกระทั่งปี ๒๐๐๒ พรรคสมรังสี แกนนำพรรคฝ่ายค้าน ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินการของคณะกรรมการราชบัลลังก์ ซึ่งมีเนื้อหาสาระว่า รัชทายาทต้องเป็นบุคคลที่มีชีวิตไม่ด่างพร้อย ไม่เคยถูกดำเนินคดีใดๆ ไม่ขึ้นต่อพรรคการเมืองใด แต่ต้องได้การยอมรับจากกลุ่มการเมืองทุกกลุ่มในสภาแห่งชาติ และกษัตริย์สามารถแต่งตั้งรัชทายาทได้[4] นายก รัฐมนตรีฮุน เซน ปฏิเสธไม่สนับสนุน ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นอันตกไป ต่อมาเจ้าชายนโรดม จักรพงษ์ได้เสนอแนะว่าบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ควรผ่านความเห็นชอบ จากประชาชนโดยการออกเสียงประชามติ การผ่านประชามตินี้ช่วยตัดปัญหาความขัดแย้งภายในราชวงศ์ และทำให้บุคคลผู้มาเป็นกษัตริย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้อาณัติพรรคการเมืองในสภา[5]

เมื่อกษัตริย์สีหนุชราภาพลงเรื่อยๆ ความกังวลใจถึงผู้ที่จะมาเป็นกษัตริย์องค์ถัดไป ความกังวลใจเกี่ยวกับอนาคตของสถาบันกษัตริย์ย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว หากกษัตริย์สีหนุตาย อำนาจในการกำหนดบุคคลมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์องค์ใหม่จะอยู่ในมือของคณะ กรรมการราชบัลลังก์ทันที ในขณะที่ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการของคณะกรรมการราชบัลลังก์ องค์ประชุม ประธานในที่ประชุม การเรียกประชุม มติเลือกกษัตริย์ ก็ยังไม่ชัดเจน กรณีดังกล่าวสร้างความกังวลใจแก่กษัตริย์สีหนุมาก พระองค์เห็นว่ามติเลือกกษัตริย์ควรเป็นมติเสียงข้างมาก ไม่ควรเป็นมติเอกฉันท์ พระองค์วิจารณ์ความคิดของนักการเมืองเขมรระดับสูงบางคนที่ต้องการให้มติ เลือกกษัตริย์ต้องเป็นมติเอกฉันท์ว่า หากข้าพเจ้าตายไป และหากในเวลานี้ที่คณะกรรมการราชบัลลังก์เป็นองค์ประกอบแบบนี้ ก็จะเป็นการยากที่คณะกรรมการชุดนี้จะหาฉันทามติแบบเอกฉันท์ในการเลือก กษัตริย์ใหม่ได้ หากกำหนดให้ใช้มติเอกฉันท์ ก็จะเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดตามมา คือ จะไม่มีกษัตริย์ถัดจากสีหนุ เราจะมีกษัตริย์เฉพาะในกระดาษตามรัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ เราจะกลายเป็นสาธารณรัฐในทางความเป็นจริง[6]

ในความเห็นของกษัตริย์สีหนุแล้ว พระองค์เกรงว่าหากคณะกรรมการราชบัลลังก์ยังแบ่งขั้วการเมืองกันอยู่ ก็จะไม่มีทางได้มติเอกฉันท์ จึงไม่มีกษัตริย์องค์ใหม่ทำให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้สำเร็จราชการไปเรื่อยๆ กัมพูชาก็ได้ชื่อว่าเป็นราชอาณาจักรและมีกษัตริย์เป็นประมุขตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงไม่มีกษัตริย์

ดูเหมือนว่าฮุน เซนและพรรคการเมืองของเขาจะไม่อนาทรร้อนใจกับปัญหาเรื่องการเลือกกษัตริย์ องค์ถัดไปนัก ฮุน เซน ไม่เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินการของคณะกรรมการราชบัลลังก์ ภายใต้กฎเกณฑ์รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ฮุน เซน ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเร่งผลักดันเรื่องนี้ หากจะเกิดกรณี “สุญญากาศ” หาบุคคลมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ไม่ได้ รัฐธรรมนูญก็กำหนดให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งประธานวุฒิสภา คือ เจีย ซิม ขั้วการเมืองเดียวกันกับฮุน เซน นั่นเอง ตรงกันข้ามกับกษัตริย์สีหนุ พระองค์กังวลใจถึงความไม่แน่นอนของสถาบันกษัตริย์กัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ รัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้พระองค์ตั้งรัชทายาทได้ แล้วถ้าพระองค์ตายไป อะไรจะเกิดขึ้นตามมา? ใครจะเป็นกษัตริย์? มีแต่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์? ไม่มีสถาบันกษัตริย์อีกต่อไป?

ในบรรดาลูกของกษัตริย์สีหนุที่อยู่ในขอบข่ายอาจเป็นกษัตริย์ได้ตามรัฐ ธรรมนูญนั้น นโรดม สิริวุฒิ และนโรดม รณฤทธิ์ ได้ปฏิเสธไม่รับตำแหน่งกษัตริย์ และกษัตริย์สีหนุก็ไม่สนับสนุนด้วยเพราะทั้งสองคนมีฝักฝ่ายทางการ เมือง Jacques Népote และ Raoul Marc Jennar ที่ปรึกษาของรัฐบาลได้จัดทำรายชื่อบุคคลผู้อาจเป็นกษัตริย์เสนอต่อ กษัตริย์สีหนุ ซึ่งพระองค์ได้ปฏิเสธทั้งหมด[7] พระองค์ แสดงความเห็นอีกเช่นกันว่าพระราชินีโมนิค มเหสีของพระองค์ ก็ไม่มีสิทธิเป็นกษัตริย์ได้ เพราะรัฐธรรมนูญบังคับว่าบุคคลผู้จะเป็นกษัตริย์ต้องสืบสายโลหิตจากกษัตริย์ องด้วง กษัตริย์นโรดม กษัตริย์สีสวัสดิ์[8] ก่อน หน้านั้น ในช่วงที่พรรคสม รังสีเสนอร่างพระราชบัญญัติในปี ๒๐๐๒ ซึ่งตามร่างดังกล่าวกำหนดให้พระราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ กษัตริย์สีหนุก็แสดงความเห็นว่า “ในกรณีที่ไม่มีกษัตริย์ใหม่ สมเด็จเจีย ซิม ประธานวุฒิสภา จะเป็นประมุขของรัฐชั่วคราว”[9]    

ปลายปี ๒๐๐๓ กษัตริย์สีหนุทรงแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับบุคคลที่สมควรเป็น กษัตริย์ต่อจากพระองค์ เมื่อรัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้พระองค์ตั้งรัชทายาท พระองค์จึงต้อง “กดดัน” ด้วยการเสนอชื่อรัชทายาทผ่านสาธารณะ พระองค์เขียนบันทึกเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๐๐๓ ว่า เจ้าชาย สีหมุนีไม่ได้เล่นการเมือง ไม่สังกัดพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร รักและเคารพเพื่อนร่วมชาติและพรรคการเมืองทั้งหมด เป็นคนขาวสะอาด ไม่มีเรื่องทุจริต มีความรู้เรื่องวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง รู้ภาษาเช็คและฝรั่งเศสอย่างดีเลิศ และรู้ภาษาเขมรอย่างดี ผ่านการศึกษาดี เป็นสุภาพบุรุษ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อบิดาอย่างยิ่ง เพื่อนร่วมชาติมากมายต่างไม่ยอมรับที่ไม่เห็นชื่อของสีหมุนีอยู่ในรายชื่อ ของบุคคลที่อาจถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์[10]

- ๔ -
การสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์สีหนุกับประเด็นปัญหาทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๐๐๔ ขณะที่พำนักอาศัยอยู่ที่จีน กษัตริย์สีหนุได้ส่งหนังสือสละราชบัลลังก์ โดยพระองค์ได้เขียนไว้ในหนังสือสละราชบัลลังก์ว่า “เป็นอำนาจของคณะกรรมการราชบัลลังก์ว่าจะมีมติเลือกเจ้าชายสีหมุนีเป็นกษัตริย์องค์ถัดไปหรือไม่” ความ ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า แม้รัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้กษัตริย์ตั้งรัชทายาทได้ แต่กษัตริย์สีหนุก็แสดงเจตจำนงของตนเอง “ซ่อน” เข้าไปในหนังสือสละราช บัลลังก์

มีปัญหาทางกฎหมายรัฐธรรมนูญตามมาว่ากษัตริย์สีหนุมีสิทธิสละราชบัลลังก์ ได้หรือไม่? รัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ มาตรา ๗ วรรคสองกำหนดให้กษัตริย์เป็นประมุขของรัฐตลอดชีวิต รัฐธรรมนูญกำหนดเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งนี้ได้กรณีเดียว คือ ตาย นอกจากนั้นก็เป็นกรณีที่กษัตริย์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้เพราะเจ็บป่วยอย่าง ร้ายแรง หรือกษัตริย์ไม่อยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ประมุขของรัฐเป็นการชั่ว คราวแทนกษัตริย์ในฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

สาเหตุที่รัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ ไม่กำหนดให้กษัตริย์สละราชบัลลังก์ได้ เพื่อป้องกันกรณีกษัตริย์สละราชบัลลังก์แล้วลงมาเล่นการเมืองเหมือนที่ กษัตริย์สีหนุเคยทำมาเมื่อปี ๑๙๕๕ แล้วยกตำแหน่งให้พระราชบิดาเป็นประมุขของรัฐแทน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นประสบการณ์เลวร้ายของกัมพูชาที่ กษัตริย์ “กระโดดลงมาเล่นการเมือง” ผูกขาดทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประมุขของรัฐ (ผ่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิด)

นโรดม รณฤทธิ์ เขียนไว้ในตำรากฎหมายมหาชนกัมพูชาว่า ไม่ควรตีความรัฐธรรมนูญ ๑๙๙๓ โดยเอาเหตุการณ์สละราชบัลลังก์ของกษัตริย์สีหนุในปี ๑๙๕๕ มาประกอบการพิจารณา ตรงกันข้าม การสละราชสมบัติอาจเป็นอาวุธที่กษัตริย์ใช้สู้กับรัฐประหารได้ และยังอาจชิงตัดหน้าสละราชบัลลังก์ก่อนที่จะถูกปลดแบบที่นายพลลอน นอลทำรัฐ ประหารสีหนุเมื่อปี ๑๙๗๐ เขาเห็นว่าการสละราชสมบัติเป็นธรรมเนียมของเขมร การห้ามสละราชสมบัติกระทบกับเสรีภาพส่วนบุคคลของกษัตริย์[11]

แม้รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรณีสละราชบัลลังก์ไว้ แต่กษัตริย์สีหนุแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ถ้าเสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่งหรือสังฆราชฝ่ายมหานิกายให้ความเห็นชอบกับการสละ ราชบัลลังก์ พระองค์จะสละราชบัลลังก์ทันที อย่างไรก็ตามกษัตริย์สีหนุไม่ได้รับความเห็นชอบเหล่านี้ ในท้ายที่สุด กษัตริย์สีหนุตัดสินใจสละราชบัลลังก์ในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๐๐๔ และเป็นฮุน เซนที่ยอมผลักดันให้มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินการของคณะกรรมการ ราชบัลลังก์ เพื่อรับรองให้คณะกรรมการฯอนุญาตให้กษัตริย์สละราชบัลลังก์ได้ ทั้งที่ตลอดระยะเวลาหลายปีก่อนหน้า ฮุน เซน ไม่สนใจจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เลย
   
แรกเริ่มเดิมที นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แสดงความเห็นว่าการสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์สีหนุไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อ มา ภายหลังการเจรจาระหว่างฮุน เซนกับกษัตริย์สีหนุ ฮุน เซน ก็เปลี่ยนใจและเร่งดำเนินการให้เจ้าชายนโรดม สีหมุนีเป็นกษัตริย์ต่อไป เขาผลักดันให้รัฐสภาตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานของคณะกรรมการราช บัลลังก์ และประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๐๐๔ พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ประธานวุฒิสภาเป็นประธานคณะกรรมการราชบัลลังก์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองประธานฯคนที่ ๑ และนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธานฯคนที่ ๒ องค์ประชุมของคณะกรรมการอยู่ที่ ๕ คนขึ้นไป และการเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งกษัตริย์ให้ใช้มติเสียงข้างมาก จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวได้แก้ไขปัญหาที่กษัตริย์สีหนุกังวลใจมา ตลอดว่าการประชุมของคณะกรรมการราชบัลลังก์จะดำเนินไปอย่างไร และต้องใช้มติแบบใดในการเลือกกษัตริย์ นอกจากนี้ พระราชบัญญัติดังกล่าวยังเปิดช่องรับรอง “ย้อนหลัง” การสละราชบัลลังก์ของ กษัตริย์สีหนุด้วย โดยกำหนดให้คณะกรรมการราชบัลลังก์มีอำนาจในการอนุญาตให้กษัตริย์สละราช บัลลังก์ได้ และกระบวนการเลือกตั้งบุคคลมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ให้ดำเนินไปเหมือนกรณี กษัตริย์ตาย เมื่อพระราชบัญญัตินี้ประกาศใช้ คณะกรรมการราชบัลลังก์ก็มีมติอนุญาตให้กษัตริย์สีหนุสละราชบัลลังก์ และดำเนินการเลือกสีหมุนีเป็นกษัตริย์องค์ใหม่

แม้รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรณีกษัตริย์พ้นจากตำแหน่งด้วยการสละราช บัลลังก์ แต่พระราชบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการราชบัลลังก์กำหนดให้กษัตริย์สละราช บัลลังก์ได้หากผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการราชบัลลังก์ ซึ่งน่าคิดต่อไปว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ คงไม่เกินเลยไปหากจะกล่าว่า พระราชบัญญัตินี้ถูกผลักดันเร่งรีบออกมาเพื่อใช้แก้ไขปัญหาการสละราช บัลลังก์ของกษัตริย์สีหนุนั่นเอง

……………………

กษัตริย์สีหนุเกรงว่าถ้าวันหนึ่งพระองค์ตายไป อำนาจการกำหนดบุคคลที่เป็น กษัตริย์อยู่ในมือของคณะกรรมการราชบัลลังก์ ไม่มีหลักประกันแน่นอนว่าสถาบันกษัตริย์จะเป็นอย่างไร บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งกษัตริย์จะเป็นสกุลนโรดมของพระองค์หรือไม่ สถาบันกษัตริย์อาจหายไป – อาจหายไปโดยความเป็นจริง หรือปลาสนาการไปทั้งทางกฎหมายและทางความเป็นจริงอย่างสมบูรณ์ -  เพื่อรักษาให้สถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ต่อไป เมื่อพระองค์ยังพอมีพระบารมีในหมู่ประชาชนชาวกัมพูชาอยู่บ้าง กษัตริย์สีหนุจึงเลือกการสละราชสมบัติเป็นอาวุธสุดท้ายทั้งนี้เพื่อ

๑. ต่อรองเจรจากับฮุน เซน เพื่อขอมีส่วนกำหนดบุคคลผู้จะเป็นกษัตริย์องค์ถัดไป
๒. ต่อรองเจรจากับฮุน เซนเพื่อรับประกันว่าสถาบันกษัตริย์จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป โดยกษัตริย์เป็นโอรสของพระองค์เอง
๓. อาศัยบารมีของพระองค์ในช่วงท้ายของชีวิตปกป้องคุ้มครองกษัตริย์สีหมุนี

การสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์สีหนุจึงเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพและการอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์กัมพูชาโดยแท้

ในโลกปัจจุบัน สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งล้าสมัยและไม่จำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพและความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ กษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานและสะสมพระบารมีอย่างต่อเนื่องมักเลือกใช้การสละ ราชบัลลังก์และให้รัชทายาทขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ดังปรากฏให้เห็นในภูฏาน กัมพูชา และล่าสุดคือเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งเริ่มมีเสียงเรียกร้องทำนองนี้ในสเปน ทั้งนี้เพื่อสร้างหลักประกันว่า เมื่อกษัตริย์สละราชบัลลังก์ รัชทายาทก็ขึ้นเป็นกษัตริย์โดยมีพระบารมีของตนคอยปกป้องคุ้มครองกษัตริย์ องค์ใหม่ และเมื่อตนตายไปแล้ว สถาบันกษัตริย์ยังอยู่ต่อ มิใช่ตนตายแล้ว จะเกิดความโกลาหลในช่วงเปลี่ยนผ่าน

การสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์สีหนุทำให้ความไม่แน่นอนของสถาบันกษัตริย์ กัมพูชาแน่นอนชัดเจนขึ้น แม้รัฐธรรมนูญไม่อนุญาตให้พระองค์แต่งตั้งรัชทายาท แต่ด้วยกุศโลบายและการเจรจาต่อรองกดดันผ่านสาธารณะโดยอาศัยพระบารมีที่ สั่งสมมา ทำให้เจ้าชายสีหมุนีได้เป็นกษัตริย์สืบต่อมาอย่างราบรื่น ตรงกันข้ามกับบางประเทศ แม้รัฐธรรมนูญและกฎมณเฑียรบาทกำหนดให้กษัตริย์แต่งตั้งรัชทายาทได้ และแม้กษัตริย์ได้แต่งตั้งรัชทายาทมานานแล้ว กลับมีความไม่แน่นอนชัดเจนในช่วงเปลี่ยนผ่านและสร้างความกังวลใจให้แก่ชน ชั้นนำจารีตประเพณีอย่างยิ่ง


[1] มาตรา ๒๗ รัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗
ผู้สืบสายโลหิตของกษัตริย์ไม่อาจถูกแต่งตั้งเป็นกษัตริย์เมื่อราช บัลลังก์ว่างลง กษัตริย์จะถูกแต่งตั้งโดยคณะกรรมการราชบัลลังก์ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก ประธานคณะกรรมการราชบัลลังก์ออกเสียงได้อีกหนึ่งเสียงในกรณีที่มติออกมาเท่า กัน

[2] มาตรา ๒๘ รัฐธรรมนูญ ๑๙๔๗
คณะกรรมการราชบัลลังก์ประกอบด้วย
- ประธานสภาแห่งพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์
- ประธานสภาแห่งชาติ
- ประธานสภาแห่งราชอาณาจักร
- นายกรัฐมนตรี
- หัวหน้าฝ่ายสงฆ์ทั้งสองนิกาย
ให้ประธานสภาแห่งพระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมการราชบัลลังก์

[3] GOUR Claude-Gilles, Institutions constitutionnelles et politiques du Cambodge, Dalloz, 1965, p.96.

[4] GAILLARD Maurice (Sous la direction de), Droit constitutionnel cambodgien, Presses universitaires du Cambodge, 2005, p.15.

[5] EDA n°359, Dossiers et documents n°7/2002 – 16/09/2002.

[6] www.norodomsihanouk.info/Messages/ cité par GAILLARD Maurice (Sous la direction de), Op.cit., p.19.

[7] GAILLARD Maurice (Sous la direction de), Op.cit., p.20.

[8] กษัตริย์สีหนุเขียนว่า “ไม่ มีห้วงเวลาใดเลยที่ข้าพเจ้าจะเสนอข้อเสนอหรือแนะนำหรือแสดงความปรารถนาให้ พระราชินี มเหสีของข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ พระราชินีและข้าพเจ้าเห็นด้วยอย่างเต็มที่กับการเลือกบุคคลสืบสายโลหิตจาก กษัตริย์องด้วง กษัตริย์นโรดม กษัตริย์สีสวัสดิ์ โดยคณะกรรมการราชบัลลังก์”

[9] www.norodomsihanouk.info/Messages/ cité par GAILLARD Maurice (Sous la direction de), Op.cit., p.21.

[10] www.norodomsihanouk.info/Messages/ cité par GAILLARD Maurice (Sous la direction de), Op.cit., p.20.

[11] NORODOM Ranariddh, Droit public cambodgien, PU Perpignan, 1998, n°316.

(ที่มา)
http://blogazine.in.th/blogs/piyabutr-saengkanokkul/post/4090

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น