กองกำลังทหารตำรวจสร้างความสงบหรือความรุนแรงในภาคใต้?
โดย อ.ใจ อึ๊งภากรณ์
การ
ถอนทหารและตำรวจออกจากพื้นที่มีประโยชน์สองด้านคือ
จะลดการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความโกรธแค้นที่หลาย
ฝ่ายมีต่อรัฐ
และจะปิดช่องที่ทหารบางกลุ่มใช้ในการสร้างสถานกรณ์ความรุนแรงเพื่อชักงบ
ประมาณลงในพื้นที่
สำหรับคนที่ข้องใจว่า “ถ้าถอนทหารตำรวจออกไป ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ แล้วจะมีใครปกป้องประชาชน?” สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือ การมีทหารและตำรวจในสามจังหวัดในรอบห้าสิบปีเคยห้ามความรุนแรงและปกป้องประชาชนจริงหรือ? คำตอบคือ “ไม่” แถม
ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวลงด้วยซ้ำเพราะทหารและตำรวจเป็นผู้สร้างความรุนแรงและ
ความกลัวแต่แรก ไม่ว่าจะด้วยการครอบครองพื้นที่ การสร้างสถานการณ์
การฆ่าวิสามัญเพื่อปราบยาเสพติด
หรือการอุ้มฆ่าหรือปราบวัยรุ่นที่คิดแบ่งแยกดินแดน
ทหารและตำรวจยึดครองพื้นที่ภาคใต้เหมือนการยึดครองอาณานิคม
วัตถุประสงค์คือการคุมพื้นที่สำหรับชนชั้นปกครองไทย
ไม่ใช่การปกป้องประชาชนพุทธ์หรืออิสลาม
ดังนั้นการถอนทหารและตำรวจออกไปเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความสงบอย่างชัดเจน
ถ้าสังคมเราจะยอมรับความหลากหลายของพลเมือง
เราต้องมีการเรียนการสอนประวัติศาสตร์จากหลายมุมมอง ควรมีการเรียนหลายๆ
ภาษาในโรงเรียนทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ภาษาไทย อังกฤษ หรือบางครั้งภาษาจีน
ควรสอนภาษามาลายู อักษรอาหรับ ภาษากะเหรี่ยง
ควรแยกศาสนาออกจากระบบโรงเรียนเพื่อให้เป็นประเด็นส่วนตัว
ไม่ควรมีการบังคับสวดมนต์แบบพุทธ ควรเปิดกว้างเรียนรู้หลากหลายความเชื่อ
เช่นพุทธ อิสลาม คริสต์ ผีสางนางไม้ วัตถุนิยมประวัติศาสตร์
หรือแนวคิดอื่นๆ ของมนุษย์
และควรมีการประกาศใช้วันเทศกาลสำคัญของจีนและอิสลามให้เป็นวันหยุดราชการและ
วันหยุดภาคเอกชนด้วย และควรมีการทบทวนแนวคิดชาตินิยม
แต่ในระยะสั้นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเราพร้อมจะเคารพคนในพื้นที่ว่ามีความสามารถ
ในการปกครองตนเอง และในการดูแลสังคม
คือการเลิกกลัวว่าถ้าไม่มีกองกำลังของรัฐไทยตรงนั้นทุกอย่างจะปั่นป่วน
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ ต้องถอนทหารออกจากการเมืองไทย
คนอย่างประยุทธ์มือเปื้อนเลือด
ไม่ควรมีสิทธิ์หน้าด้านอ้างรัฐธรรมนูญที่พวกเขาฉีกทิ้งเป็นประจำ
เพื่อปฏิเสธข้อเสนอของ บีอาร์เอน
และเขาไม่ควรมีสิทธิ์แสดงความเห็นกับสื่อเรื่องนโยบายการเมือง
โดยเฉพาะเรื่องภาคใต้ ทหารอย่าง พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร
เลขาสำนักงานความมั่นคงฯ ไม่ควรนำการเจรจากับ บีอาร์เอน
มันควรจะเป็นการเจรจาทางการเมืองที่นำโดยผู้แทนการเมืองที่มาจากการเลือก
ตั้งแทน
ในขณะเดียวกันผมมีคำถามต่อองค์กร บีอาร์เอน คือ บีอาร์เอน
จะปกป้องสิทธิ์ของคนกลุ่มน้อยในภาคใต้หรือไม่
ผมหมายถึงประชาชนที่ไม่ใช่มาเลย์มุสลิม และอีกคำถามหนึ่งคือ บีอาร์เอน
จะสร้างพรรคการเมืองมวลชนอย่างเปิดเผย ที่สนใจประเด็นทางสังคมหรือไม่
เช่นความยากจน รัฐสวัสดิการ สิทธิแรงงาน หรือสิทธิสตรี
เพราะถ้าไม่ครองใจประชาชนจำนวนมากจะไม่มีวันเปลี่ยนสภาพภาคใต้ได้
(ที่มา)