หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ด. “เด็ก”

ด. “เด็ก” 


 
ในสังคมเกษตรที่ไม่มีสวัสดิการจากการทำงาน เด็กจะมีภาระสำคัญในการดูแลคนชรา แต่เมื่อทุนนิยมขยายตัวมากขึ้น ผู้ใหญ่จะเริ่มมีสวัสดิการที่จะดูแลตัวเองเมื่อเกษียณ บทบาทของเด็กก็เปลี่ยนไปพร้อมกับขนาดของครอบครัวที่เล็กลงด้วย

โดย ลั่นทมขาว
 
ทัศนะที่คนในสังคมมีต่อเด็ก เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ก่อนระบบอุตสาหกรรมและทุนนิยม เด็กจะไม่ถูกฝึกฝนในโรงเรียนและจะเรียนรู้ท่ามกลางการช่วยเหลือคนในครอบครัว ทำงาน โดยมีพ่อแม่ลุงป้าน้าอาหรือพี่คอยให้คำแนะนำ ส่วนใหญ่จะเป็นสังคมเกษตร  ในยุคนั้นการ “เล่น” ไม่ถูกมองว่าสำคัญ ทั้งๆ ที่เด็กคงเล่นในขณะที่ทำงานหรือเรียนรู้
   
ในยุคต้นๆ ของการพัฒนาอุตสาหกรรม ชีวิตของเด็กแย่ลงมาก เพราะจะต้องไปทำงานในโรงงานในสภาพที่ป่าเถื่อน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันตกในศตวรรษที่๑๙ และยังเกิดขึ้นทุกวันนี้ในประเทศยากจน ในไทยก็มีปรากฏการณ์นี้เหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะในหมู่ลูกๆ ของคนรับใช้ตามบ้าน ถ้าเด็กเหล่านั้นเป็นคนจากประเทศเพื่อนบ้าน
   
สาเหตุที่มีการใช้แรงงานเด็กในยุคต้นๆ ของการพัฒนาอุตสาหกรรมก็เพราะแรงงานเด็กราคาถูก และครอบครัวคนจนมีรายได้ไม่พอ ทุกคนในครอบครัวจึงต้องทำงาน ในกรณีสหรัฐอเมริกา การพัฒนาทุนนิยมตอนต้นอาศัยแรงงานทาสอีกด้วย ซึ่งรวมถึงทาสที่เป็นเด็ก ทุกวันนี้ยังมีแรงงานทาสหลงเหลืออยู่บ้างในเอเชียและอัฟริกา แต่จะเป็นทาสที่ถูกขายเพื่อจ่ายหนี้เป็นส่วนใหญ่
   
ในสังคมเกษตรที่ไม่มีสวัสดิการจากการทำงาน เด็กจะมีภาระสำคัญในการดูแลคนชรา แต่เมื่อทุนนิยมขยายตัวมากขึ้น ผู้ใหญ่จะเริ่มมีสวัสดิการที่จะดูแลตัวเองเมื่อเกษียณ บทบาทของเด็กก็เปลี่ยนไปพร้อมกับขนาดของครอบครัวที่เล็กลงด้วย
   
เมื่อทุนนิยมและระบบอุตสาหกรรมพัมนามากขึ้น แรงงานที่ต้องการจะเป็นแรงงานฝีมือมากขึ้น และนอกจากนี้แรงงานต้องมีสุขภาพดีแข็งแรง เหมาะสมกับการทำงาน ดังนั้นเริ่มมีการนำระบบการศึกษาภาคบังคับมากใช้ เริ่มมีการให้ความสำคัญกับสุขภาพและการเจริญเติบโตของเด็ก ซึ่งถือว่าเป็นแรงงานรุ่นต่อไปในอนาคต จึงมีการออกกฏหมายห้ามใช้แรงงานเด็ก และกฏหมายที่บังคับให้เด็กไปโรงเรียน แต่ถ้าเด็กจะได้รับการศึกษา ไม่ต้องทำงาน และมีสุขภาพดี พ่อแม่เขาต้องได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเพื่อเลี้ยงเด็ก และรัฐต้องลงทุนในระบบการศึกษาและระบบสาธารณสุข และสำหรับทุนนิยมมันเป็นการ “ลงทุน” ที่คุ้มค่า เพราะการผลิตจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสร้างมูลค่าต่อหัวคนทำงานมากขึ้น เรื่อยๆ
   
เวลาเราพิจารณาระบบการศึกษาสำหรับเด็ก เราจะเห็นว่าทุนนิยมขัดแย้งในตัวเอง
   
คือในแง่หนึ่งผู้ที่คุมระบบทุนนิยมต้องการแรงงานที่มีการศึกษาและฝีมือ ซึ่งแปลว่าระบบการศึกษาต้องเน้นการพัฒนาฝีมือ และที่สำคัญต้องเน้นการฝึกฝนให้เด็กคิดเองและแก้ปัญหาหลากหลายได้ ไม่ใช่นำเด็กมาท่องจำทุกอย่างตามวินัยของไม้เรียวครู ซึ่งแปลว่าสัดส่วนเด็กต่อครูในห้องเรียนต้องน้อยลง ต้องสอนโดยให้เด็กเป็นศูนย์กลาง คือเน้นว่าเด็กแต่ละคนมีลักษณะพิเศษของตนเองที่พัฒนาได้ ต้องไม่พัฒนาตามพิมพ์เขียวเดียวกันที่ใช้กับทุกคนต้องให้ความสำคัญกับการ “เล่น” เพื่อเรียนรู้ และเด็กที่ผ่านระบบการศึกษาแบบนี้จะเหมาะสมมากกับเศรษฐกิจและการทำงานสมัย ใหม่
   
แต่ในอีกแง่หนึ่งผู้ที่คุมระบบทุนนิยมต้องการประหยัดงบประมาณรัฐ โดยเฉพาะเวลามีวิกฤตเศรษฐกิจที่มาจากการลดลงของกำไรกลุ่มทุน การสอนเด็กแบบที่ให้เด็กเป็นศูนย์กลางมักใช้งบประมาณสูง ยิ่งกว่านั้นการสอนเด็กให้คิดเองเป็นและแก้ปัญหาเอง ทำให้ประชาชนที่เติบโตจากเด็กรุ่นนั้นถูกควบคุมลำบาก ไม่เชื่อฟังคำสั่งง่ายๆ ถ้าไม่มีเหตุผล ซึ่งระบบการศึกษาในสังคมทุนนิยมมักจะมีเป้าหมายไว้เพื่อกล่อมเกลาให้คนจงรัก ภักดีต่อผู้มีอำนาจเสมอ นอกจากนี้ถ้าระบบการศึกษามีประสิทธิภาพสูง คนที่จบออกมาจะไม่พอใจในการทำงานซ้ำซาก และจะไม่พอใจเมื่องานฝีมือที่ไม่น่าเบื่อมีน้อยเกินไปจนต้องตกงาน
   
ดังนั้นในระบบทุนนิยมจะมีการจงใจคัดเลือกคน ให้เด็กส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ และให้คนส่วนน้อยเป็นฝ่ายสำเร็จ วิธีที่มักใช้กันคือการสอบ และการสอบไม่ใช่การเลือกคนฉลาดหรือเก่ง เพราะมันมีเงื่อนไขหลายอย่างที่นำไปสู่การสอบผ่านและคะแนนดี ซึ่งถ้าดูในภาพรวมจะเห็นว่าเด็กจากครอบครัวที่มีฐานะมักผ่านข้อสอบในอัตรา สูงกว่าเด็กจากครอบครัวยากจน ในโลกจริงคนที่สอบผ่านและเข้าไปเรียนเป็นหมอได้ ไม่ได้ “ฉลาด” กว่าคนอื่นส่วนใหญ่ เพียงแต่เขามีโอกาสมากกว่าคนอื่น ดังนั้นในสังคมใหม่ที่เป็นสังคมนิยม เราจะยกเลิกการสอบส่วนใหญ่ เราจะใช้ระบบการศึกษาที่ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เราจะไม่จำกัดการศึกษาไว้แค่ในวัยเด็ก และเราจะยกเลิกความเหลื่อมล้ำทางอำนาจระหว่างเด็กและครู เพื่อให้เด็กเรียนรู้อย่างเสรีจนพัฒนาตนเองได้เต็มที่ในทุกด้าน
   
ในทุนนิยมสมัยนี้ เรายังมองว่าเด็กเป็น “ทรัพย์สิน” ของผู้ใหญ่ คือเราอ้างสิทธิ์ที่จะควบคุมชีวิตเด็ก เราไม่ให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกเต็มที่ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหรือเลือกวิถีชีวิตอย่างเสรี ดังนั้นภายใต้สังคมนิยม เราจะต้องร่วมกันค้นหาวิธีปลดปล่อยเด็กให้มีเสรีภาพมากขึ้น และสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เคารพเด็กเหมือนเป็นมนุษย์เต็มตัว 

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2013/09/blog-post_7375.html 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น