หลังยึด...หลังปราบ! เรื่องใหม่ในการเมืองไทย
"ประเทศในทางการเมืองก็เหมือนกับป่า เราจำเป็นต้องตัดต้นไม้เก่าออกไป เพื่อเปิดโอกาสให้ต้นไม้ใหม่เติบโตขึ้นทดแทนกัน"
Walter Bagehot
นักเขียนชาวอังกฤษ
(ค.ศ.1826-77)
ไม่ น่าเชื่อว่าการยึดอำนาจในการเมืองไทยครั้งก่อนผ่านไปเกือบจะ 8 ปีแล้ว เช่นเดียวกับการล้อมปราบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงผ่านไปครบรอบ 3 ปี... การเมืองไทยหลังเหตุการณ์ใหญ่ทั้งสองครั้งเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และเปลี่ยนแปลงไปจนต้องยอมรับว่า ไม่มีทางที่จะหวนคืนกลับมาเหมือนเก่าอีกต่อไป
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเมืองที่เกิดขึ้นหลังจากรัฐประหาร 2549 และหลังจากการปราบปรามใหญ่ที่ทุ่งราชประสงค์ในปี 2553 แล้ว การเมืองไทยเป็น "การเมืองใหม่" ที่ต้องการการพิจารณาด้วยความรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
ความเปลี่ยนแปลงประการแรกที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ อำนาจอันทรงพลังของกองทัพที่มีการรัฐประหารเป็นเครื่องมือนั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แน่ นอนว่าชนชั้นนำและผู้นำทหารอาจจะยังคงยึดกุมเครื่องมือเหล่านี้ไว้ได้ แต่พลังของเครื่องมือดังกล่าวก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างมากจนต้องยอมรับว่า การยึดอำนาจยังเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในการเมืองไทย แต่ผลหลังจากการยึดอำนาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้อีกต่อไป
สภาพ เช่นนี้ทำให้ปัญหาทหารกับการเมืองไทยไม่เหมือนเช่นในอดีต เพราะแม้ผู้นำกองทัพจะยังคงมีอำนาจในทางกายภาพที่คุมอาวุธแบบต่างๆ ไว้ในมือ แต่โอกาสการใช้เครื่องมือเช่นนี้กลับมีความจำกัดอย่างไม่เคยมีมาก่อนในการ เมืองไทย
เพราะแม้พวกเขาจะประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจ แต่ก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากประชาชนเป็นจำนวนมากได้ไม่ยากนัก
ปรากฏการณ์ เช่นนี้กำลังบอกแก่เราว่า ผู้คนโดยทั่วไปที่ไม่ยอมรับการใช้กำลังของทหารในการเมืองไทยนั้น พร้อมที่จะลุกขึ้นเป็นผู้ประท้วงหรือแสดงออกด้วยการต่อต้านการใช้กำลังทหาร ได้โดยไม่ลังเล
และที่สำคัญก็คือ พวกเขาพร้อมจะต่อต้านอย่างสุดแรงด้วยวิธีการต่างๆ จนทำให้เกิดการคาดคะเนถึงสถานการณ์ของการใช้กำลังทหารในการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจโดยตรง หรือจะเป็นการใช้กำลังเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมก็ตาม สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาก็คือ การจับอาวุธเข้าต่อสู้กับฝ่ายทหาร
ดัง นั้น จึงไม่แปลกอะไรนักที่นักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศหลายคนจะยังคงมีความกังวล ว่า หากชนชั้นนำและผู้นำทหารตัดสินใจใช้กำลังในการแทรกแซงทางการเมืองเช่นที่ ผ่านมาแล้ว ก็อาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสถานการณ์สงครามกลางเมืองในไทยได้ไม่ยากนัก
หรือ อย่างน้อยก็มีผู้เชื่อว่า ถ้าเกิดเช่นนี้จริง ก็จะเป็นโอกาสของสถานการณ์ "Thai Spring" ในแบบที่เกิดปรากฏการณ์ในโลกอาหรับ (Arab Spring) มาแล้ว
[ไม่ใช่ Thai Spring ที่กำลังเกิดขึ้นในสื่อสังคมไทยปัจจุบัน]
แรง ต้านทานเช่นนี้มีส่วนอย่างมากที่จะเป็นเครื่องยับยั้งการตัดสินใจของกลุ่ม ดังกล่าวที่ตัดสินใจผลักดันการเมืองไทยให้กลับสู่วิธีการเดิมด้วยการใช้ กำลังทหาร
เพราะพวกเขาเองก็ตระหนักจากตัวอย่างรูปธรรมจากการชุมนุม ของการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงทั้งในปี 2552 และในปี 2553 ว่า การล้อมปราบโดยเฉพาะการใช้กำลังขนาดใหญ่เข้าปราบปรามในปี 2553 นั้น ไม่ได้ทำให้กระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องยุติลงแต่ประการใด
ใน ทางตรงกันข้ามกลับเกิดปรากฏการณ์แบบ "ยิ่งตีก็ยิ่งโต" ผลของการปราบปรามในปี 2553 กลับเป็นการพิสูจน์อย่างดีว่า ทฤษฎีของการใช้กำลังปราบปรามทางการเมืองต่อการชุมนุมขนาดใหญ่ของประชาชนนั้น ไม่อาจเอาชนะได้ด้วยการใช้กำลังทางกายภาพอย่างหยาบๆ
แม้นักการทหาร บางคนจะพยายามสร้างทฤษฎีด้วยคำอธิบายเช่นที่ปรากฏใน "วารสารเสนาธิปัตย์" ถึงชัยชนะของพวกเขาต่อการสังหารประชาชนที่ทุ่งราชประสงค์
แต่ความเป็นจริงทางการเมืองกลับทำลายสิ่งที่ถูกเรียกว่า "ชัยชนะทางทหารที่ราชประสงค์" ลงโดยสิ้นเชิง
ปรากฏการณ์ ของความพยายามสร้างคำอธิบายด้วยการโฆษณาในวารสารดังกล่าว จึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าภาพสะท้อนถึง "ความอ่อนหัด" ในการคิดทั้งทางการเมืองและการทหารของฝ่ายอำนวยการในกองทัพไทยที่พวกเขา เชื่อว่า กองทัพสามารถเอาชนะการชุมนุมของประชาชนได้ด้วยการปราบ
ความ พยายามที่จะนำเสนอคำอธิบายเช่นที่ปรากฏในวารสารเสนาธิปัตย์นั้นว่าที่จริง ไม่ได้สะท้อนอะไรมากไปกว่า พวกเขายังเชื่อว่า กำลังเป็นปัจจัยชี้ขาดของการต่อสู้ทางการเมือง
หรือกล่าวง่ายๆ ได้ว่า กลุ่มคนที่สถาปนาตัวเองเป็น "นักคิด" ในกองทัพนั้น เชื่อด้วยทัศนะที่ไม่แตกต่างจากสงครามในอดีตว่า "สงครามการเมืองเอาชนะได้ด้วยการใช้กำลังทหาร"...
ทัศนะเช่นนี้นำ ความพ่ายแพ้มาสู่กองทัพสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามมาแล้ว จนในที่สุดกองทัพไทยในยุคสงครามคอมมิวนิสต์ได้ตัดสินใจเปลี่ยนทัศนะและสร้าง แนวคิดทางยุทธศาสตร์ใหม่
ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหารหรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ "สงครามการเมืองเอาชนะด้วยการเมืองที่เหนือกว่า" จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทัพไทยชนะสงครามภายในได้
แต่ก็น่าคิดว่าถ้าผู้นำทหารไทยไม่เปลี่ยนวิธีคิดทางยุทธศาสตร์แล้ว สงครามในบ้านจะจบอย่างเช่นสงครามในเวียดนามหรือไม่
ดัง นั้น กองทัพที่ไม่มีวิธีคิดทางการเมือง นอกจากการใช้กำลังเข้าปราบปราม ความน่ากลัวจึงมีเพียงเพราะพวกเขามีอาวุธที่เหนือกว่าเท่านั้น
แต่ใน ทางการเมืองแล้ว กองทัพชนิดนี้เป็นปัจจัยของความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ทางการเมืองในตัวเอง เพราะพวกเขาไม่สามารถดำเนินการอย่างไรได้มากกว่าการใช้กำลัง และดังที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า กำลังแต่เพียงอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดถึงชัยชนะในทางการเมืองแต่อย่าง ใด
และสิ่งนี้คือความท้าทายต่อผู้นำกองทัพในการเมืองไทยปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
ปรากฏการณ์เช่นนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า รัฐประหารกลายเป็นเครื่องมือที่ไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมการเมืองไทย
ดัง จะเห็นได้ชัดเจนว่าผู้นำกองทัพไม่สามารถควบคุมการเมืองหลังจากรัฐประหาร 2549 ได้อย่างเบ็ดเสร็จ หรือควบคุมได้เช่นที่ชนชั้นนำและผู้นำทหารต้องการแต่อย่างใด
ขณะ เดียวกันการปราบปรามการชุมนุมด้วยอาวุธสงคราม จนถึงขั้นมีการประกาศเขต "ใช้กระสุนจริง" ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการทำลายขบวนการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตย
และยอดของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการใช้กำลังที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็น "ล็อก" ที่มีต่อสถานะกองทัพ
ดังจะเห็นได้ว่า ผลของการชันสูตรศพล้วนแต่บ่งบอกถึงการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมจากอาวุธสงครามทั้งสิ้น
จน ทำให้เกิดคำถามในทางกฎหมายว่า ถ้าผู้สั่งการให้เปิดการสังหารประชาชนมีความผิดแล้ว ผู้รับคำสั่งในปฏิบัติการดังกล่าวควรจะมีความผิดหรือไม่
ตลอดรวมถึงบรรดา "นักพูด" หน้าจอโทรทัศน์ทั้งหลายควรจะมีความผิดในฐานะ "ผู้ร่วมสั่งฆ่า" ด้วยหรือไม่...
แน่นอนว่าในแง่ของบาปบุญคุณโทษ พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่า การฆ่าคนเป็นบาป และการกระทำเช่นนี้จะเป็น "ตราบาป" ติดตามพวกเขาไปนานเท่านาน
เว้นเสียแต่พวกเขาจะใช้วาทกรรมเช่นในปี 2519 ที่มีผู้นำเสนอมาแล้วว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป"
แต่ใครเล่าจะกล้านำเสนอเช่นนั้นอีกในภาวะปัจจุบัน!
ใน ขณะที่เครื่องมือของชนชั้นนำและผู้นำทหารในการควบคุมการเมืองไทยลด ประสิทธิภาพลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2549 และยิ่งหลังจากการปราบปรามในปี 2553 แล้ว เครื่องมือทหารกลับตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง
จนวันนี้เมื่อมีการพูดถึงรัฐประหารครั้งใด หรือพูดถึงการล้อมปราบครั้งใด กองทัพก็หนีไม่พ้นที่จะตกเป็นเป้าทุกครั้งไป
ดัง นั้น คงประเมินได้ไม่ยากนักว่า อำนาจของทหารในการเมืองไทยจะมีข้อจำกัดมากขึ้นในวันข้างหน้า และแม้สถาบันกองทัพจะยังคงมีอำนาจทางการเมือง แต่ก็เป็นอำนาจที่ถูก "ตีกรอบ" ให้มีความจำกัดมากขึ้น โอกาสที่ชนชั้นนำและผู้นำทหารจะสามารถใช้อำนาจนี้ได้อย่างเสรีเช่นในอดีต นั้น จึงดูจะเป็นไปได้ยากในอนาคต
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับ การเมืองไทยจะยังไม่ได้ถูกจัดให้เป็นเช่นแบบของการเมืองตะวันตก ที่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยดำรงอยู่อย่างมีเสถียรภาพแล้ว แต่แนวโน้มของการใช้พลังอำนาจทหารในการเมืองไทยก็ไม่อาจดำรงอยู่ในแบบเดิม
โอกาสหวนกลับไปสู่ยุคจอมพลสฤษดิ์-จอมพลถนอมเช่นก่อน 14 ตุลาคม 2516 จึงเป็นไปไม่ได้
หรือโอกาสจะหวนกลับสู่ยุค รสช. (รัฐประหาร 2534) ก็ดูจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ โอกาสหวนคืนกลับสู่ยุค คมช. (รัฐประหาร 2549) ก็ยากที่จะเป็นจริงได้ไม่แตกต่างกัน
จนวันนี้ดูเหมือนจะไม่มีผู้นำทหารคนไหนอยากเป็นผู้แบกภาระทางการเมืองด้วยการตัดสินใจทำรัฐประหาร
อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดเจนว่า หนึ่งในผู้ทำรัฐประหาร 2549 ก็หวนกลับมาเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในเวลาต่อมา
และดูจะเป็นการตอบแบบเป็นนัยว่า สุดท้ายแล้วผู้นำทหารก็ต้องกลับมาอยู่กับระบบเลือกตั้ง
ใน อีกด้านหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ กลับเห็นการขยายตัวของการจัดตั้งทางการเมือง พร้อมๆ กับการขยายตัวของการสร้างจิตสำนึกของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ถูกมองว่าเป็นชนชั้นล่างหรือคนในชนบท
ดังจะเห็นได้ว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐประหารเป็นการชุมนุมขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ซึ่ง ว่าที่จริง ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนชนบทเท่านั้น หากแต่ยังมีคนในเมืองอีกเป็นจำนวนพอสมควรเข้าร่วมด้วย และแม้พวกเขาจะถูกล้อมปราบถึง 2 ครั้ง (2552 และ 2553) แต่ขบวนการเมืองชุดนี้กลับไม่ได้ถูกทำลายลง และยังสามารถเปิดการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
การจัดตั้งขบวนการเมืองของคนเสื้อแดงมีส่วนทำให้การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้ ก่อนหน้านี้จะมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า ขบวนการเมืองของคนเสื้อเหลืองเป็นตัวแบบของ "การเมืองภาคประชาชน" แต่ว่าที่จริงแล้ว ขบวนเสื้อเหลืองกลับเป็นตัวแทนของกลุ่มอนุรักษนิยมที่ต้องการคงสภาพการเมือง ไว้ในแบบเดิม
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ขบวนเสื้อเหลืองกลับทำหน้าที่เป็นผู้สร้างโอกาสให้เกิดการยึดอำนาจ อีกทั้งยังแสดงออกถึงการต่อต้านระบบการเลือกตั้ง
ซึ่งหากพิจารณา เปรียบเทียบในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์แล้ว ขบวนการเมืองของคนเสื้อเหลืองก็คือ "ผู้คลั่งไคล้ในอุดมการณ์ต่อต้านการเมือง" (Antipolitics Ideology) ซึ่งเป็นชุดความคิดที่ปรากฏอยู่ในกลุ่มการเมืองแบบอนุรักษนิยมในหลายประเทศ
คนเหล่านี้มองเห็นการเลือกตั้งเป็นเพียง "ความฉ้อฉลและฉ้อโกง" ของนักการเมืองเท่านั้น
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขามองเห็นแต่ด้านลบที่การเลือกตั้งไม่มีความชอบธรรมในการคัดเลือกคนเข้าสู่การเป็นรัฐบาลได้แต่อย่างใด
แต่ก็ไม่ชัดเจนว่า พวกเขาต้องการการคัดเลือกแบบใด หรือจะยึดเอาการแต่งตั้งเป็นวิธีการหลักทางการเมือง
ดังนั้น การขยายตัวของคนเป็นจำนวนมากที่เข้าร่วมกับคนเสื้อแดง จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ขบวนเสื้อแดงคือการเมืองภาคประชาชนอย่างแท้จริง
แน่ นอนว่าคนเสื้อเหลืองอาจจะไม่พอใจกับทัศนะเช่นนี้ เพราะวาทกรรมดังกล่าวถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับต่อการเคลื่อนไหวของคนเสื้อ เหลืองในยุคนั้น ซึ่งวันนี้ขบวนเสื้อเหลืองกลับมีลักษณะถดถอย ซึ่งทำให้การชุมนุมใหญ่เกิดขึ้นได้ยาก ต่างกับขบวนเสื้อแดงที่สามารถระดมเข้าร่วมได้ครั้งละเป็นจำนวนมาก
และแม้จะมีการโจมตีขบวนของคนเสื้อแดงมากเท่าใด แต่ก็ดูจะไม่กระทบต่อการมีส่วนร่วมของคนในขบวนนี้แต่อย่างใด
การชุมนุมของคนเสื้อแดงจึงยังมีพลังและเป็นโจทย์ที่จะต้องคิดต่อในอนาคตว่า จะแปลงขบวนนี้ให้เป็นขบวนประชาธิปไตยไทยอย่างไร
ปัญหา สำคัญในอนาคตจึงท้าทายอย่างมากว่า เมื่อเครื่องมือหลักของระบบอำนาจนิยมอ่อนแอลง และขบวนประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยขยายตัวมากขึ้นแล้ว รัฐและสังคมไทยจะปรับตัวอย่างไรกับ
อนาคตของการเมืองไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370168967&grpid=01&catid=50&subcatid=5000
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น