การศึกษาภายใต้ทุนนิยม
โดย อ.ใจ
อึ๊งภากรณ์
ระบบการศึกษาสาธารณะสำหรับประชาชน
เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังกำเนิดของทุนนิยม เพราะก่อนหน้านี้ ภายใต้ระบบฟิวเดิล
ระบบศักดินา หรือระบบทาส คนส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรด้วยเทคโนโลจีพื้นฐาน
ดังนั้นคนที่อ่านออกเขียนได้ และคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือวรรณคดี
มีแค่พวกพระ หรือครูศาสนา หรือในกรณีจีน
จะเป็นพวกข้าราชการที่ต้องผ่านการสอบคัดเลือกไม่กี่คนเท่านั้น
เมื่อระบบทุนนิยมเข้ามา
มีการพัฒนาเครื่องจักรและเทคโนโลจีอย่างรวดเร็ว คนส่วนใหญ่ถูกดึงหรือผลักเข้ามาในระบบการผลิตสมัยใหม่และหลุดจากชีวิตชนบท
แม้แต่ในชนบทก็เริ่มมีการนำระบบเกษตรทุนนิยมเข้ามาแทนที่การผลิตของเกษตรกรรายย่อย
ในระยะแรกๆ ของกำเนิดทุนนิยม หรือที่เขาเรียกกันว่ายุค “การปฏิวัติอุตสาหกรรม”
ชนชั้นปกครองยังไม่ต้องการแรงงานฝีมือที่อ่านออกเขียนได้ แค่ต้องการ “ผู้ใช้แรง”
ดังนั้นไม่มีระบบโรงเรียนสำหรับเด็กส่วนใหญ่ และผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง
และเด็กเล็กจนโต ก็ต้องไปทำงานกับเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ร้านค้า
หรือในเหมืองแร่ แรงงานเด็กแบบนี้มีประโยชน์สำหรับนายทุนที่สามารถจ่ายค่าจ้างน้อยๆ
และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวกรรมาชีพ
เพราะค่าแรงของผู้ใหญ่ไม่พอเลี้ยงครอบครัว จริงๆ
แล้วมันก็ไม่ต่างจากสังคมเกษตรก่อนทุนนิยมด้วย
เพราะทุกคนในครอบครัวต้องช่วยทำงานในยุคนั้น เพียงแต่ว่าระบบอุตสาหกรรมมันโหดร้าย
สกปรก อันตราย และเต็มไปด้วยวินัยบังคับ ที่มาจากหัวหน้างานหน้าเลือด สภาพชีวิตของคนงานทุกอายุก็แย่
เพราะขาดอาหารที่มีคุณภาพ และขาดแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ ในประเทศยากจนสมัยนี้
เรายังพบแรงงานเด็กและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่สุดจะทนได้
แต่มันเป็นกรณีส่วนน้อยถ้าดูภาพรวมของโลก
เมื่อทุนนิยมพัฒนาขึ้น
และมีเทคโนโลจีที่สลับซับซ้อนมากขึ้น นายทุนเริ่มเห็นประโยชน์ของคนงานที่มีทักษะ
การศึกษา และฝีมือมากขึ้น
ยิ่งกว่านี้แรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างกำไรให้นายจ้าง
ย่อมเป็นแรงงานที่มีสุขภาพดีแข็งแรง
ดังนั้นมีการนำระบบการศึกษาสำหรับเด็กทุกคนมาบังคับใช้ผ่านนโยบายและค่าใช้จ่ายของรัฐ
แต่เนื่องจากทุนนิยมเป็นสังคมชนชั้น การศึกษาที่รัฐจัดให้คนธรรมดา
ย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการศึกษาในโรงเรียนเอกชนหรือมหาวิทยาลัยของอภิสิทธิ์ชนที่จัดไว้สำหรับลูกหลานคนรวยและผู้มีอำนาจ
สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะรัฐต้องเก็บภาษีจากนายทุน บริษัทต่างๆ และประชาชนทั่วไปสำหรับระบบการศึกษา
และแน่นอนนายทุนใหญ่และคนรวยไม่ต้องการจ่ายภาษีสูงๆ เพื่อให้มีการศึกษาระดับเลิศๆ
ให้กับเด็กทั่วไปที่พอโตขึ้นแล้วจะมาเป็นคนงาน
ส่วนลูกหลานคนมีอำนาจหรือคนรวยเป็นพวกที่จะเตรียมตัวเข้าสู่ชนชั้นปกครอง
เขาจึงต้องได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด
ในระยะแรกเส้นแบ่งระหว่างโรงเรียนหรือสถานที่ศึกษาที่เก็บค่าเรียนสูง
กับสถานที่ศึกษาของรัฐที่ให้เรียนฟรี มันเพียงพอที่จะแยกพวกเด็กส่วนใหญ่ที่จะเป็นผู้ถูกปกครองออกจากเด็กที่จะเป็นชนชั้นปกครองในอนาคต
แต่พอทุนนิยมพัฒนาถึงระดับสูงขึ้น นายทุนจำเป็นที่จะต้องมีลูกจ้างประเภทที่เป็นช่างฝีมือที่เข้าใจ
ใช้ และออกแบบเทคโนโลจีได้ ดังนั้นในโรงเรียนรัฐจึงมีการสอบคัดเลือกเด็กบางส่วน
ที่จะเป็นแรงงานฝีมือระดับกลาง
และผู้ที่ผ่านการสอบนี้จะมีสิทธิพิเศษเข้าโรงเรียนรัฐที่มีคุณภาพมากขึ้น
บางคนอาจได้รับทุนพิเศษเพื่อเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีด้วย
ตลอดเวลาที่ระบบทุนนิยมดำรงอยู่
ผลประโยชน์ของนายทุนในการกอบโกยกำไรสูงสุด
บวกกับการที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐและลดการเก็บภาษีกับกลุ่มทุนหรือคนรวย
หมายความว่าระบบการศึกษาและการสอบ ถูกออกแบบให้คนส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ “ล้มเหลว”
คือสอบไม่ผ่านและได้รับการศึกษาพื้นฐานที่เหมาะกับหน้าที่ของตนในอนาคตเท่านั้น
ส่วนคนจำนวนหนึ่งที่สอบผ่านจะถูกยกระดับไปสู่คนที่ได้การศึกษาระดับกลางเพื่อให้เป็นช่างฝีมือ
และคนอีกส่วนหนึ่งจะได้รับการศึกษาสุดยอดที่เหมาะกับการเป็นผู้ปกครองประชาชนในวันข้างหน้า
แต่การสอบตกหรือผ่าน ไม่ได้วัดความฉลาดแต่อย่างใด
มันวัดโอกาสของเด็กในแต่ละชั้นชนที่จะได้รับสิ่งอุตหนุนในการสอบผ่านมากน้อยแค่ไหนต่างหาก
ในระบบทุนนิยมสภาพสังคมชนชั้นที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ
ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาโดยชนชั้นปกครอง แต่ถูกชนชั้นปกครองเหล่านั้นสร้างภาพว่ามันเป็น
“ธรรมชาติ” คือเขาจะเป่าหูเราให้เชื่อว่าคนส่วนน้อยฉลาดเป็นพิเศษ คนอีกส่วนหนึ่งฉลาดปานกลาง
และคนส่วนใหญ่โง่เขลา แทนที่เราจะมองว่าระบบการศึกษาและการสอบถูกออกแบบให้เป็นแบบนี้แต่แรก
การศึกษาสาธารณะมีความสำคัญสำหรับชนชั้นปกครองในอีกด้านหนึ่งนอกจากการทำให้คนงานมีทักษะมากขึ้น
คือในระบบทุนนิยมคนส่วนใหญ่ต้องถูกสอนให้เชื่อง จงรักภักดี
และเชื่อฟังชนชั้นปกครอง เพราะในระบบทุนนิยมการรวมตัวกันของคนหมู่มากในเมือง
และการที่มีระบบการผลิตสมัยใหม่ ทำให้ชนชั้นกรรมาชีพมีอำนาจซ่อนเร้น คือถ้ารวมตัวกันและนัดหยุดงาน
กบฏ หรือปฏิวัติ ก็จะล้มสังคมชนชั้นได้ การศึกษาเป็นดาบสองคมเสมอ
มันเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและกำไรให้นายทุน แต่ในมุมกลับใครที่ได้การศึกษาดีๆ
อ่านออกเขียนได้ ย่อมมีความมั่นใจในการคิดเองเป็น
และสามารถหาแหล่งความคิดที่ทวนกระแสได้ และสามารถสื่อสารกับคนที่ต้องการเปลี่ยนสังคมด้วยความสะดวกสบาย
ด้วยเหตุนี้ชนชั้นปกครองไม่ต้องการที่จะให้เด็กทุกคน หรือผู้ใหญ่ส่วนมาก
มีการศึกษา “ดีเกินไป” เขาต้องมีการกดให้ระดับการศึกษาอยู่ในขั้นพื้นฐานด้วยการสอบคัดเลือกให้คนส่วนใหญ่ล้มเหลว
เพราะนอกจากการศึกษาจะทำให้คนมั่นใจที่จะเปลี่ยนสังคมและคิดเองมากขึ้นแล้ว
ยังทำให้นักเรียนที่จบออกมาตั้งความหวังว่าตนเองจะมีชีวิตที่ดีด้วย
และสำหรับคนส่วนใหญ่ความหวังนั้นจะจบด้วยความผิดหวัง ความไม่พอใจ และความโกรธแค้น
ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ชนชั้นปกครองต้องการหลีกเลี่ยง
การเข้าใจธาตุแท้ของระบบการสอบ
ทำให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัย เบอร์คเล ในสหรัฐอเมริกาในยุคประท้วงใหญ่ 45
ปีก่อนหน้านี้ กดดันให้มหาวิทยาลัยออกแบบหลักสูตรที่ไม่มีการสอบ
แต่เมื่อกระแสกบฏลดลงหลักสูตรนี้ก็หายไป
ประเด็น
สำคัญเกี่ยวกับระบบทุนนิยมอีกประเด็นหนึ่งที่เราควรเข้าใจคือ
ทุนนิยมเป็นระบบที่อาศัยการแข่งขันในตลาด
ซึ่งนำไปสู่แนวโน้มของการลดลงของอัตรากำไรและการผลิตล้นเกิน
วิกฤตเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้นในระบบทุนนิยมเป็นประจำ
และท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจเรามักจะได้ยินเสียงของนายทุนที่เรียกร้องให้
รัฐบาลตัดงบประมาณ
และประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงการลดภาษีด้วย
สภาพเช่นนี้เป็นแรงผลักดันให้มีการศึกษาราคาถูก
ที่เน้นการท่องจำและยัดวิชาใส่หัวนักเรียนในห้องเรียนขนาดใหญ่
โดยที่สามารถตัดเครื่องมือการสอน จำนวนครู และคุณภาพการศึกษาได้
ถ้าจะเข้าใจการศึกษาในระบบทุนนิยม
เราต้องมองความขัดแย้งที่ดำรงอยู่เสมอระหว่างความต้องการที่จะมีแรงงานฝีมือที่มีทักษะสูง
กับความต้องการที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐ มันไม่เคยเป็นอันใดอันหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นสองสิ่งที่ขัดแย้งกันที่ดำรงอยู่ด้วยกันท่ามกลางการพัฒนาของเทคโนโลจีและการขึ้นลงของเศรษฐกิจเสมอ
วิธีมองสังคมที่มีความขัดแย้งแบบนี้เรียกว่า “วิภาษวิธี” และการเชื่อมระบบการศึกษากับแต่ละยุคสมัยและผลประโยชน์นายทุนเราเรียกว่า
“วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ซึ่งสองวิธีการวิเคราะห์นี้เป็นหัวใจของแนวคิดมาร์คซิสต์
จะเห็นได้ว่าการศึกษาในระบบทุนนิยม
ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ของพลเมืองทุกคน
แต่ถูกออกแบบเพื่อประโยชน์ของนายทุนเป็นหลัก
แต่แน่นอนนายทุนไม่สามารถควบคุมผลที่เกิดขึ้นตลอดไป สาเหตุสำคัญที่ชนชั้นนายทุนไม่ได้ควบคุมสถานการณ์อย่างเบ็ดเสร็จ
นอกจากเรื่องพลวัตความขัดแย้งระหว่าง
ความต้องการที่จะมีแรงงานฝีมือที่มีทักษะสูง
กับความต้องการที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐแล้ว
ยังมีอีกปะเด็นที่สำคัญมากคือ
ระบบการศึกษาและทุกระบบในสังคมประกอบไปด้วย “คน” และคนสามารถคิดเองเป็น
ดังนั้นบ่อยครั้งจะเกิดครูที่ต้องการสอนนักเรียนในลักษณะก้าวหน้าปลดแอก
ไม่ใช่สอนไปเพื่อให้เด็กรับใช้เจ้านายในอนาคต
และบ่อยครั้งจะเกิดนักเรียนที่กบฏ ชอบตั้งคำถาม
และท้าทายกระแสหลัก นี่คือความหวังสำหรับเราในทุกยุคทุกสมัย
แต่เราไม่ควรลืมคำของมาร์คซ์ว่า “มนุษย์เป็นผู้เปลี่ยนและสร้างโลก
แต่ไม่ได้กระทำในบริบทที่ตนเองเลือก”
นั้นคือสาเหตุที่เราต้องทั้งสนับสนุนการกบฏของปัจเจก
และการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างการศึกษาและโครงสร้างสังคมพร้อมกัน
ในระบบทุนนิยมเราอาจพูดได้ว่ามันเป็นการศึกษาเพื่อกดขี่ขูดรีดคนส่วนใหญ่
มันเป็นการศึกษาเพื่อผู้กดขี่ แต่ในสังคมนิยมที่เราจะสร้างในอนาคต
การศึกษาต้องถูกออกแบบโดยคนส่วนใหญ่ ที่ขึ้นมามีอำนาจในแผ่นดินร่วมกันในสังคม
เพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์พิเศษของพลเมืองแต่ละคน
และในช่วงทางผ่านหรือช่วงที่เราต้องสู้กับทุนนิยมและชนชั้นปกครอง เราต้องผลักดันการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่ให้มากที่สุด
เพื่อสร้างทักษะในการกำหนดอนาคตของตนเองและการต่อสู้ทางชนชั้น
เมื่อ
เราเสนอ “การศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่”
หรือการศึกษาก้าวหน้าเพื่อประชาชนส่วนใหญ่
เราต้องการเห็นมันเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสวัสดิการ
และเราจะรณรงค์เรียกร้องและกดดันให้โรงเรียนรัฐปฏิรูปการศึกษาไปในทิศทางนี้
สำหรับคนส่วนใหญ่
เราจะไม่ใช้แนวคิด เอ็นจีโอ ที่เคยตั้งโรงเรียน “ตัวอย่าง”
สำหรับคนกลุ่มน้อย และหันหลังให้รัฐ
เพราะมันไม่นำไปสู่การปฏิรูปการศึกษาสำหรับคนส่วนใหญ่เลย
และในกรณีไทยนักเคลื่อนไหว
เอ็นจีโอ ที่เคยตั้งโรงเรียนตัวอย่างดังกล่าว ได้แสดงธาตุแท้ของแนวคิด
โดยเข้าไปเป็นแกนนำของพันธมิตรฯ เสื้อเหลือง
ที่เรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร
และที่ดูถูกคนส่วนใหญ่ที่เป็นเสื้อแดงว่า “โง่”
นั้นคือสิ่งตรงข้ามกับปรัชญาการศึกษาสำหรับผู้ถูกกดขี่ที่จะทำให้ผู้ถูกกด
ขี่ปลดแอกตนเองได้
เพาโล แฟรรี (Paulo Freire) เป็นนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายและนักคิดสาย “ศึกษาธิการ” ชาวบราซิลที่เสนอทฤษฏีก้าวหน้าเรื่องระบบการศึกษาในหนังสือ “การเรียนรู้ของผู้ถูกกดขี่”
แฟรรี เสนอว่า “การเรียนรู้ของผู้ถูกกดขี่จะต้องถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้ถูกกดขี่เอง
ไม่ใช่เพื่อคนที่ถูกกดขี่
และหัวใจของการเรียนรู้แบบนี้คือการวิเคราะห์และสะท้อนในเรื่องสภาพการกดขี่และสาเหตุของมัน
แต่ผู้ถูกกดขี่จะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แบบนี้ได้อย่างไร?
จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือการทำความเข้าใจว่าตัวเองกลืนแนวความคิดของผู้มีอำนาจเบื้องบนเข้าไปในร่างของตัวเอง
การต่อสู้กับความขัดแย้งในตัวแบบนี้จะเกิดขึ้นจากการสอนในนามธรรมไม่ได้มันต้องเกิดขึ้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้
การเรียนรู้ของผู้ถูกกดขี่ไม่ใช่เรื่องของการอธิบายปัญหาต่างๆให้คนอื่นฟัง
แต่เป็นเรื่องของการถกเถียงแลกเปลี่ยนระหว่างบุคคล
การเรียนรู้แบบนี้จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิงถ้ามองว่าผู้ถูกกดขี่เป็นคนที่น่าสงสารอ่อนแอหรือเสียเปรียบ
เพราะนั่นเป็นการลอกแบบความคิดของผู้มีอำนาจหรือผู้กดขี่ การปฏิบัติในเรื่องการเรียนรู้ในรูปแบบนี้
ต้องกระทำบนพื้นฐานการไว้ใจคนที่ถูกกดขี่ว่ามีความสามารถในการใช้เหตุผล
และจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้ผู้ถูกกดขี่พึ่งพาผู้ที่เขามองว่าเป็นผู้รู้
โดยไม่มีการเปิดโปงว่าการพึ่งพาแบบนี้คือจุดอ่อน อย่างไรก็ตามการเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมอบให้ได้มันต้องทำเอง”
แฟรรี เน้นความสำคัญของกลุ่มศึกษา
โดยเสนอว่า “การเรียนรู้เพื่อปลดแอกมนุษย์ต้องเป็นกิจกรรมรวมหมู่ ทำคนเดียวไม่ได้
คนในกลุ่มศึกษาต้องคิด ถกเถียง สะท้อน และพัฒนาความคิดด้วยกันเสมอ บทบาทของ ครู หรือ แกนนำ ในขบวนการปฏิวัติ
คือเป็นผู้นำเสนอประเด็นปัญหา
เพื่อให้สมาชิกกลุ่มศึกษาค้นหาความหมายและทางออกให้ลึกลงไป
หลังจากนั้นผู้ที่เป็นครูควรฉายภาพการนึกคิดของ นักเรียน กลับไปสู่เขา เพื่อตั้งประเด็นปัญหาเพิ่ม ครูมีหน้าที่ประสานการเรียนรู้
และบางครั้งอาจเสนอทิศทางได้ แต่ไม่ควรสอนแบบยัดความรู้จากมุมมองตนเองใส่ผู้ร่วมเรียน”
แฟรรี่ โจมตีวิธีสอนกระแสหลักที่เขาเรียกว่า
ระบบการศึกษา “ฝากธนาคาร” แนวกระแสสหลักแบบนี้มองว่านักศึกษาเป็นเพียงภาชนะที่จะถูกเติมเต็มโดยครู
ยิ่งเติมเต็มได้แค่ไหน นักเรียนก็ยิ่งประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น แต่ แฟรรี
เสนอว่าในระบบนี้ นักศึกษายิ่งขยันทำงานรับความรู้เข้าหัวตัวเองมากแค่ไหน
เขาจะยิ่งหมดสภาพในการใช้สมองเพื่อตั้งคำถามและวิเคราะห์โลกเท่านั้น
และเขาจะยิ่งอ่อนแอที่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงโลกมากขึ้น
เขาจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมที่ดำรงอยู่ ระบบการศึกษาแบบ “ฝากธนาคาร” สร้างประโยชน์ให้กับนายทุนผู้กดขี่มหาศาลเพราะทำลายความสามารถในการคิดเองและการออกมาเปลี่ยนแปลงโลกเองของนักศึกษา
ซึ่งนำไปสู่การปกครองคนที่เชื่องและจงรักภัคดีและที่แย่ที่สุดคือนำไปสู่การทำลายความเป็นมนุษย์ของนักศึกษา
การศึกษาแบบสังคมนิยมมีเป้าหมายในการเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
และเพิ่มความสามารถของทุกคนที่จะร่วมกันกำหนดรูปแบบสังคมและทิศทางการพัฒนา
มันเป็นการศึกษาที่ไม่จำกัดแค่ช่วงหนึ่งในชีวิต เช่นแค่ในวัยเด็ก
แต่เป็นการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีพเพื่อประโยชน์ของมนุษย์
ตรงข้ามกับการศึกษาภายใต้ทุนนิยม ซึ่งออกแบบมาเพื่อรับใช้ผลประโยชน์นายทุน
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น