การริเริ่มสร้างรัฐสวัสดิการในยุโรป
แนวคิดสำคัญที่ก่อหวอดให้มีการพูดถึงบทบาทของรัฐ
ในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความไม่เป็นธรรมทางชนชั้น คือ
แนวคิดสังคมประชาธิปไตย (Social democracy) แก่นแกนของความคิดนี้มองว่า
รัฐต้องมีหน้าที่ดูแลบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนเพื่อลดความยากจน
โดย พจนา วลัย
ในยุโรป นโยบายแรกๆ
ที่ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของรัฐในการจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชน
ก่อนหน้าที่จะมีการใช้คำว่ารัฐสวัสดิการ คือ
นโยบายประกันอุบัติเหตุในสถานประกอบการ (ปี 1884) นโยบายประกันสุขภาพ (ปี
1883) ของประเทศเยอรมนี และขยายไปยังประเทศใกล้เคียง ในปี 1920
ประเทศในยุโรปจำนวน 10
ประเทศยอมรับรูปแบบของรัฐว่าต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของการว่างงาน เช่น
การให้ค่าครองชีพแก่ครอบครัว ต่อมาคำว่า “รัฐสวัสดิการ” (welfare
state) ถูกใช้อธิบายรัฐอังกฤษหลังปี 1945 เป็นครั้งแรกและใช้ทั่วยุโรป
โดยความหมายครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ในแง่สังคม คือ
การเรียกร้องให้มีการสร้างหลักประกันสังคมเพื่อความเสมอภาคด้านโอกาส
ส่วนในแง่เศรษฐกิจคือ การหยุดยั้งความยากจนและการว่างงานทั่วไป
ตัวอย่างกฎหมายและระเบียบสำคัญๆ ในการวางรากฐานของรัฐสวัสดิการในสวีเดน ได้แก่
1847 ระเบียบว่าด้วยการอภิบาลคนจน
1889 กฎหมายคุ้มครองการประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน
1901 กฎหมายเกี่ยวกับเงินชดเชยกรณีประสบอุบัติเหตุในที่ทำงาน
1912 กฎหมายคุ้มครองการทำงาน
1914 การประกันสังคมทั่วไป
1919 การทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
1931 เงินช่วยเหลือจากรัฐยามป่วยไข้
1934 การประกันการตกงาน
1935 กฎหมายเกี่ยวกับเงินบำนาญประชาชน
ฯลฯ
รัฐสวัสดิการถูกสร้างในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังปีค.ศ. 1945 เห็นได้จากการเสนอรายงานประกันสังคมของ เซอร์วิลเลียม เบเวอร์ริดจ์(Sir William H. Beveridge) ต่อรัฐบาลพรรคแรงงาน ประเทศสหราชอาณาจักร เซอร์เบเวอร์ริดจ์ มองว่ารัฐจำเป็นต้องขจัดความชั่วร้ายทางสังคม และประกันการจ้างงานเต็มที่ รวมถึงสร้างหลักประกันสังคมจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน การบริการสาธารณสุขแห่งชาติ การเคหะ เงินบำนาญสำหรับผู้สูงวัย และควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่คือ เคนเชียน (Keynesianism)
เราสามารถกล่าวได้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคทองของการสร้างรัฐสวัสดิการ(ค.ศ.1945-1975) กล่าวคือ
1) มีการปฏิรูประบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า มาตรฐานเดียว ครอบคลุม บนฐานคิดสิทธิความเป็นพลเมืองร่วมกัน
2) จัดการทรัพยากรให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างกว้างขวางสอดรับกับระบบสวัสดิการถ้วนหน้า
3) สร้างฉันทามติทางการเมืองให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบผสมผสาน(รัฐและ เอกชน) และการจัดระบบสวัสดิการสังคมที่ขยายการบริการสาธารณะ
4) มีพันธกิจต่อการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและจ้างงานเต็มที่ อย่างไรก็ตามเกิดวิกฤตของรัฐสวัสดิการในยุคหลัง 1970 เป็นต้นไป เนื่องจากถูกโต้แย้งโดยนักเสรีนิยม
แนวคิดสำคัญที่ก่อหวอดให้มีการพูดถึงบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาความยากจน และความไม่เป็นธรรมทางชนชั้น คือ แนวคิดสังคมประชาธิปไตย (Social democracy) แก่นแกนของความคิดนี้มองว่า รัฐต้องมีหน้าที่ดูแลบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนเพื่อลดความยากจน และเพื่อรักษาระเบียบของรัฐเอาไว้ รวมถึงการขยายสิทธิและการมีส่วนร่วมของพลเมืองในประเทศอย่างเต็มที่ เช่น สิทธิในการเลือกตั้งทั่วไป
นโยบายสวัสดิการ การจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ซึ่งมาจากการผลักดันของพรรคการเมืองแนวทางสังคมประชาธิปไตย ได้แก่ พรรคสังคมประชาธิปไตยในเยอรมนี(German Social Democracy Party) พรรคสังคมประชาธิปไตยในสวีเดน(Social Democracy of Sweden) ซึ่งเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างมากและเป็นรัฐบาลอยู่ถึง 44 ปี(ค.ศ.1932-1976) และคืนอำนาจในปี 1982 สลับกันขึ้นครองอำนาจกับพรรคของนายทุน พรรคแรงงานในอังกฤษ(Labour Party of Britain)
ต่อมารัฐสวัสดิการในยุโรปถูกโต้แย้งว่า จากการที่รัฐเก็บภาษีสูง ทำให้การลงทุนหดตัว ทำลายการแข่งขัน เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เงินออมมีน้อยลง ไม่ได้ช่วยให้จำนวนคนว่างงานลดลง อย่างไรก็ตาม สวีเดนเป็นประเทศหนึ่งที่ยังคงรักษาความเป็นรัฐสวัสดิการเอาไว้ได้ ซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ยังดำรงอยู่ ได้แก่ การที่ประชาชนออกมาเรียกร้องให้รักษาไว้ เป็นต้น
แนวคิดสังคมประชาธิปไตย
แนวคิดสังคมประชาธิปไตยเป็นแนวคิดว่าด้วยรัฐ สิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางปัญหาความยากจน ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ หากสืบสาวแนวคิดสังคมประชาธิปไตย สามารถกล่าวได้ว่าเริ่มต้นจากเฟอร์ดินานด์ ลาซาลล์ ในทศวรรษ 1880 เป็นต้นมา หรือช่วงของการเกิดสากลที่ 2 (Second International) ภายใต้เงื่อนไขบริบทของสังคมยุโรปที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการริเริ่มทางความ คิดว่าด้วยรัฐสวัสดิการ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบการปกครองของกษัตริย์ เผด็จการทหาร การเกิดการปฏิวัติรัสเซีย การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่นำไปสู่กระแสความตกต่ำของรัฐสมัยนั้น จึงมีขบวนการเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ไม่ให้กดขี่ประชาชน
เฟอร์ดินานด์ ลาซาลล์(Ferdinand Lassalle) ชาวปรัสเซียน (ค.ศ.1825-1864) ซึ่งยังอยู่ในยุคของคาร์ล มาร์คซ์ เป็นผู้นำสำคัญในขบวนการสังคมนิยมในประเทศเยอรมนี ได้ก่อตั้งกลุ่ม General German Workers’ Association (ADAV) และรวมกับกลุ่ม League of German Workingmen’s Association ก่อตั้งโดยลิบเนค(Liebknecht) และเบเบล(Bebel) เป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี ในยุคของรัฐบาลเผด็จการบิสมาร์ค(Bismarck) เป็นนายกรัฐมนตรี(ค.ศ.1861) แห่งจักรวรรดิเยอรมัน (Deutsches Reich หรือ German Empire)
ตัวอย่างกฎหมายและระเบียบสำคัญๆ ในการวางรากฐานของรัฐสวัสดิการในสวีเดน ได้แก่
1847 ระเบียบว่าด้วยการอภิบาลคนจน
1889 กฎหมายคุ้มครองการประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน
1901 กฎหมายเกี่ยวกับเงินชดเชยกรณีประสบอุบัติเหตุในที่ทำงาน
1912 กฎหมายคุ้มครองการทำงาน
1914 การประกันสังคมทั่วไป
1919 การทำงานวันละ 8 ชั่วโมง
1931 เงินช่วยเหลือจากรัฐยามป่วยไข้
1934 การประกันการตกงาน
1935 กฎหมายเกี่ยวกับเงินบำนาญประชาชน
ฯลฯ
รัฐสวัสดิการถูกสร้างในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังปีค.ศ. 1945 เห็นได้จากการเสนอรายงานประกันสังคมของ เซอร์วิลเลียม เบเวอร์ริดจ์(Sir William H. Beveridge) ต่อรัฐบาลพรรคแรงงาน ประเทศสหราชอาณาจักร เซอร์เบเวอร์ริดจ์ มองว่ารัฐจำเป็นต้องขจัดความชั่วร้ายทางสังคม และประกันการจ้างงานเต็มที่ รวมถึงสร้างหลักประกันสังคมจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน การบริการสาธารณสุขแห่งชาติ การเคหะ เงินบำนาญสำหรับผู้สูงวัย และควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่คือ เคนเชียน (Keynesianism)
เราสามารถกล่าวได้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยุคทองของการสร้างรัฐสวัสดิการ(ค.ศ.1945-1975) กล่าวคือ
1) มีการปฏิรูประบบรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า มาตรฐานเดียว ครอบคลุม บนฐานคิดสิทธิความเป็นพลเมืองร่วมกัน
2) จัดการทรัพยากรให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างกว้างขวางสอดรับกับระบบสวัสดิการถ้วนหน้า
3) สร้างฉันทามติทางการเมืองให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบผสมผสาน(รัฐและ เอกชน) และการจัดระบบสวัสดิการสังคมที่ขยายการบริการสาธารณะ
4) มีพันธกิจต่อการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและจ้างงานเต็มที่ อย่างไรก็ตามเกิดวิกฤตของรัฐสวัสดิการในยุคหลัง 1970 เป็นต้นไป เนื่องจากถูกโต้แย้งโดยนักเสรีนิยม
แนวคิดสำคัญที่ก่อหวอดให้มีการพูดถึงบทบาทของรัฐในการแก้ไขปัญหาความยากจน และความไม่เป็นธรรมทางชนชั้น คือ แนวคิดสังคมประชาธิปไตย (Social democracy) แก่นแกนของความคิดนี้มองว่า รัฐต้องมีหน้าที่ดูแลบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนเพื่อลดความยากจน และเพื่อรักษาระเบียบของรัฐเอาไว้ รวมถึงการขยายสิทธิและการมีส่วนร่วมของพลเมืองในประเทศอย่างเต็มที่ เช่น สิทธิในการเลือกตั้งทั่วไป
นโยบายสวัสดิการ การจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า ซึ่งมาจากการผลักดันของพรรคการเมืองแนวทางสังคมประชาธิปไตย ได้แก่ พรรคสังคมประชาธิปไตยในเยอรมนี(German Social Democracy Party) พรรคสังคมประชาธิปไตยในสวีเดน(Social Democracy of Sweden) ซึ่งเป็นพรรคที่ครองเสียงข้างมากและเป็นรัฐบาลอยู่ถึง 44 ปี(ค.ศ.1932-1976) และคืนอำนาจในปี 1982 สลับกันขึ้นครองอำนาจกับพรรคของนายทุน พรรคแรงงานในอังกฤษ(Labour Party of Britain)
ต่อมารัฐสวัสดิการในยุโรปถูกโต้แย้งว่า จากการที่รัฐเก็บภาษีสูง ทำให้การลงทุนหดตัว ทำลายการแข่งขัน เกิดปัญหาเงินเฟ้อ เงินออมมีน้อยลง ไม่ได้ช่วยให้จำนวนคนว่างงานลดลง อย่างไรก็ตาม สวีเดนเป็นประเทศหนึ่งที่ยังคงรักษาความเป็นรัฐสวัสดิการเอาไว้ได้ ซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้ยังดำรงอยู่ ได้แก่ การที่ประชาชนออกมาเรียกร้องให้รักษาไว้ เป็นต้น
แนวคิดสังคมประชาธิปไตย
แนวคิดสังคมประชาธิปไตยเป็นแนวคิดว่าด้วยรัฐ สิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางปัญหาความยากจน ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ หากสืบสาวแนวคิดสังคมประชาธิปไตย สามารถกล่าวได้ว่าเริ่มต้นจากเฟอร์ดินานด์ ลาซาลล์ ในทศวรรษ 1880 เป็นต้นมา หรือช่วงของการเกิดสากลที่ 2 (Second International) ภายใต้เงื่อนไขบริบทของสังคมยุโรปที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการริเริ่มทางความ คิดว่าด้วยรัฐสวัสดิการ คือ ความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบการปกครองของกษัตริย์ เผด็จการทหาร การเกิดการปฏิวัติรัสเซีย การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ที่นำไปสู่กระแสความตกต่ำของรัฐสมัยนั้น จึงมีขบวนการเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ไม่ให้กดขี่ประชาชน
เฟอร์ดินานด์ ลาซาลล์(Ferdinand Lassalle) ชาวปรัสเซียน (ค.ศ.1825-1864) ซึ่งยังอยู่ในยุคของคาร์ล มาร์คซ์ เป็นผู้นำสำคัญในขบวนการสังคมนิยมในประเทศเยอรมนี ได้ก่อตั้งกลุ่ม General German Workers’ Association (ADAV) และรวมกับกลุ่ม League of German Workingmen’s Association ก่อตั้งโดยลิบเนค(Liebknecht) และเบเบล(Bebel) เป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี ในยุคของรัฐบาลเผด็จการบิสมาร์ค(Bismarck) เป็นนายกรัฐมนตรี(ค.ศ.1861) แห่งจักรวรรดิเยอรมัน (Deutsches Reich หรือ German Empire)
ลาซาลล์ เชื่อมั่นในพลังการต่อสู้ของชนชั้นแรงงาน เขาจึงเสนอให้มีการจัดตั้งพรรคแรงงานที่เป็นอิสระจากชนชั้นกลาง และได้เป็นประธานกลุ่ม ADAV ซึ่งต่อมาพัฒนามาเป็นพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี
ทว่าความคิดของลาซาลล์ แตกต่างจาก คาล มาร์กซ์ เนื่องจากลาซาลล์ให้ความหมายคำว่า “รัฐ” แตกต่างโดยเขาใช้แนวคิดอุดมคติของเฮเกล กล่าวคือ เขามองว่า รัฐคือเครื่องมือในการปรับปรุงสภาพความยากลำบากของแรงงาน เพราะทุนนิยมไม่สามารถนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้แก่แรงงานได้เลย อีกทั้งกลไกตลาดจะนำไปสู่วิกฤต การล้มละลายและการสะสมทุนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้รัฐจึงต้องมีบทบาทในการดูแลสถานะของผู้ใช้แรงงาน เช่น สนับสนุนเงินกู้ยืมสำหรับจัดตั้งสหกรณ์ผู้ผลิต รัฐต้องเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาด และควรเป็นรัฐสวัสดิการเพื่อทำหน้าที่ในการสร้างความมั่นคงให้แก่มนุษยชาติ ในขณะที่มาร์กซ์ไม่เชื่อว่า สหภาพแรงงานจะสามารถปรับปรุงสภาพการทำงานและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงภายใต้ ระบบทุนนิยมและกลไกรัฐที่เป็นอยูj
ลาซาลล์ยังให้ความหมาย “สังคมนิยม” ว่าคือประชาธิปไตยในทางการเมือง การเลือกตั้ง เสรีภาพในการพิมพ์และการรวมตัว การลงประชามติ รัฐเป็นตัวแทนเจตจำนงของประชาชนโดยรวม เขาเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเป็นหนทางที่ประชาชน รวมทั้งแรงงานสามารถพัฒนาได้ แต่รัฐจะเป็นผู้วางบทบาทตำแหน่งของปัจเจกบุคคลให้บรรลุเป้าหมายและรักษา ระดับความมีอยู่ เช่น ให้เข้าถึงการศึกษา อำนาจ เสรีภาพของความเป็นมนุษย์
เขาและผู้นำเช่นลิบเนคและเบเบลมีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องบทบาทของรัฐ การเลือกตั้ง กฎหมายที่จะทำให้สังคมสงบสุขได้ ด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และการผลักดันให้พรรคการเมืองของแรงงานเข้าสู่อำนาจรัฐ ลาซาลล์จึงถูกขนานนามว่าเป็นนักปฏิรูปไม่ใช่นักปฏิวัติ ดังเห็นได้จาก Gotha Program ของพรรคสังคมประชาธิปไตยของเยอรมนี(SPD) อันเป็นนโยบายพรรคที่จัดทำขึ้นในวันที่ 23-27 พฤษภาคม ปีค.ศ. 1875 สะท้อนความคิดของเขา คือ การให้รัฐเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาของแรงงาน เช่น การจ้างงาน ขจัดการเอารัดเอาเปรียบทุกรูปแบบ จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ให้มีสหกรณ์ของแรงงานภายใต้การสนับสนุนของรัฐแต่บริหารงานควบคุมโดยแรงงาน นั่นคือการใช้กลไกรัฐที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ต่อแรงงาน
มรดกทางความคิดของลาซาลล์ที่จะพัฒนาแนวทางสังคมนิยมเป็นที่ถกเถียงในบรรดา นักสังคมนิยมในเวลาต่อมา เช่น เบิร์นสไตน์ เคาสกี้ แต่ในที่สุดเยอรมนีได้นำเอาแนวทางของลาซาลล์มาใช้ คือ แนวทางสังคมประชาธิปไตย ประนีประนอมระหว่างสังคมนิยมกับเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่ทว่าการใช้ประโยชน์จากกลไกรัฐภายใต้การนำของบิสมาร์คไม่ประสบความสำเร็จ
อีกทั้งแนวคิดนี้อ่อนกำลังลงในช่วงที่มีการประกาศกฎหมายต่อต้านสังคมนิยม หรือเรียกว่า Socialist Law เป็นเวลา 12 ปี(1878-90) ทั้งนี้ บิสมาร์คเกรงว่าพรรคสังคมนิยมจะขยายตัวเติบใหญ่จนคุกคามอำนาจรัฐของตนได้ การหยิบยื่นโครงการประกันสุขภาพและตามด้วยการประกันอุบัติเหตุในปี 1884 จึงมีเป้าหมายเพื่อช่วงชิงความจงรักภักดีจากคนงาน และเพื่อแยกสลายขบวนการสังคมนิยม
แนวคิดสังคมประชาธิปไตยในประเทศไทย
แนวคิดสังคมประชาธิปไตยเคยถูกใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างการ เมืองเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ระบุไว้ในเค้าโครงเศรษฐกิจของท่าน ปรีดี พนมยงค์ โดยกล่าวว่า
“ความไม่เที่ยงแท้ในการเศรษฐกิจเป็นอยู่เช่นนี้ จึงมีนักปราชญ์คิดแก้ โดยวิธีให้รัฐบาลประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร(Social Assurance) กล่าวคือ ราษฎรที่เกิดมาย่อมได้รับประกันจากรัฐบาลว่า ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งสิ้นชีพ ซึ่งในระหว่างนั้นจะเป็นเด็ก หรือเจ็บป่วย หรือพิการ หรือชรา ทำงานไม่ได้ก็ดี ราษฎรก็จะได้มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม สถานที่อยู่ ฯลฯ
ปัจจัยแห่งการดำรงชีวิต เมื่อรัฐบาลประกันได้เช่นนี้แล้ว ราษฎรทุกคนจะนอนตาหลับ เพราะตนไม่ต้องกังวลว่า เมื่อเจ็บป่วยหรือพิการหรือชราแล้ว จะต้องอดอยาก หรือเมื่อตนมีบุตรจะต้องเป็นห่วงใยบุตร เมื่อตนได้สิ้นชีพไปแล้วว่า บุตรจะอดอยากหรือหาไม่ เพราะรัฐบาลเป็นผู้ประกันอยู่แล้ว การประกันนี้ย่อมวิเศษยิ่งกว่าการสะสมเงินทอง เพราะเงินทองนั้นเอง ก็ย่อมเป็นของไม่เที่ยงแท้ดั่งได้พรรณนามาแล้ว”
นอกจากนี้ ยังเห็นได้จากนโยบายหนึ่งที่สะท้อนแนวคิดสังคมประชาธิปไตยคือ การให้มีการจัดเก็บภาษีมรดกเพื่อนำไปจัดสรรบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม ถูกฝ่ายตรงข้ามขัดขวางสำเร็จในที่สุด หน่ออ่อนของการนำแนวคิดสังคมประชาธิปไตยดังกล่าวจึงถูกสกัดออกไปจากสังคมไทย ในช่วงนั้น
นอกจาก ปรีดี พนมยงค์ แล้วยังมีนักคิดในแนวทางเดียวกันนี้อีก ได้แก่ แคล้ว นรปติ หัวหน้าพรรคแนวร่วมสังคมนิยม พ.อ.สมคิด ศรีสังคม ผู้ตั้งพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ทองปัก เพียงเกษ ชำนิ ศักดิเศรษฐ์ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จากแนวคิด “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”
ทั้งนี้ในช่วงของการต่อสู้สมัย 14 ตุลาคม 2516 พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยและพรรคแนวร่วมสังคมนิยมได้รับการยอมรับ และได้ที่นั่งในรัฐสภาในการเลือกตั้งเดือนมกราคม 2518 อย่างไรก็ตาม การเบ่งบานทางความคิดทางด้านสังคมนิยมถูกทำลายโดยเผด็จการ จากเหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นักคิดนักสู้แนวทางสังคมนิยมถูกจับด้วยข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ คุกคามความสงบของสังคมไทย หลายคนหลบหนีเข้าป่า เช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จากนั้นขบวนการสังคมนิยมในประเทศไทยจึงปิดฉากลง
แม้ว่าขบวนการสังคมนิยมในประเทศไทยจะถูกปราบปรามอย่างหนัก แต่ความคิดสังคมประชาธิปไตยยังคงดำรงอยู่ ดังเห็นจากแนวคิด “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ที่ ยังไม่ถูกนำไปปฏิบัติ เป็นเพียงแต่การพูดถึง ล่าสุดในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์นำโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีการเสนอยกเลิกกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินแล้วร่างกฎหมายใหม่ แทนคือ ร่างพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ....... ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบ พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติม และจะไปสู่การบรรจุในการพิจารณาของสภาฯ แน่นอนในวาระแรก แต่ทว่ารัฐบาลชุดนี้จะพิจารณาไม่ทัน เพราะได้มีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2554
ท้ายที่สุด ร่างกฎหมายนี้ยังไม่ได้รับการพิจารณาแต่อย่างใดภายใต้รัฐบาลนำโดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้จะมีกระแสเสียงเสนอให้เก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้ากับทุกส่วน ไม่เว้นแต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดย นักวิชาการเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจากภาคประชาชน ทั้งนี้ ภาษีอัตราก้าวหน้าคือหนทางหลักของการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน เพื่อนำเงินรายได้ไปจัดสวัสดิการถ้วนหน้ามาตรฐานเดียวและมีคุณภาพตั้งแต่ เกิดจนตาย ที่เราในขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมควรผลักดันกันต่อไป
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/12/blog-post_8.html?spref=fb
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น